วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning log week 12 ( Outside Class )



           ในปัจจุบันภาษาอังกฤษมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นภาษาสากลที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ทำให้คนไทยต้องพัฒนาการใช้ภาษาอังกฤษให้มากขึ้น เพื่อความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ทักษะทางภาษา อาทิเช่น การเรียน การทำงานในต่างประเทศ การติดต่อสื่อสาร ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาภาษาอังกฤษตั้งแต่วัยเด็ก โดยมีการสนับสนุนจากพ่อแม่และทางโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากพ่อแม่เป็นบุคคลที่เด็กไว้ใจและอยู่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด ทำให้เด็กมีความกล้าที่จะเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ ในทางเดียวกันโรงเรียนก็เป็นสถานที่ที่ให้เด็กได้เรียนรู้โดยมีครูเป็นผู้ชี้แนะ และมีเพื่อนๆเป็นผู้ร่วมเรียนรู้ทำให้เกิดความสนุกสนานในการเรียนรู้มากขึ้น ทั้งนี้การพัฒนาทักษะทางด้านภาษาอังกฤษนั้น จะเป็นการพัฒนาที่มีลำดับขั้นตอน ซึ่งมีทั้งหมด 4 ทักษะ คือ ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน ทั้ง 4 ทักษะที่กล่าวมานี้ ดิฉันมีความคุ้นเคยอยู่บ้างแล้ว เนื่องจากในระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ก็ได้มีการเรียนรู้ทางด้านภาษามาเช่นกัน แต่ไม่มีความชำนาญ ทำให้ดิฉันต้องหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อความเก่งกาจในการใช้ภาษาอังกฤษในอนาคต
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองของดิฉันในวันพุธ ที่ 21 ตุลาคม 2558 คือ การฟังเพลงสากล ชื่อเพลงว่า Safe and Sound ของศิลปิน Taylor Swift Ft. The Civil Wars ซึ่งในบทเพลงนี้ มีการเชื่อมเสียงระหว่างคำ ได้แก่ When all อ่านว่า เว็น-นอล  โดยปกติถ้าดิฉันอ่านออกเสียง ดิฉันจะอ่านว่า เว็น-ออล ซึ่งจะไม่มีการเชื่อมเสียง แต่เมื่อได้ฟังเพลงนี้ ทำให้ดิฉันอยากนำการเชื่อมเสียงไปใช้ในการสนทนากับเพื่อนๆหรือชาวต่างชาติ นอกจากที่กล่าวมายังมีการเชื่อมเสียงระหว่างคำอีกหลายตำแหน่งในบทเพลงนี้ เช่น shadows almost เสียง s ท้ายคำ จะเชื่อมกับเสียง a หน้าคำ , But all เสียง t ท้ายคำ จะเชื่อมกับเสียง a หน้าคำ , dead and เสียง d ท้ายคำ จะเชื่อมกับเสียง a หน้าคำ , your eyes เสียง r ท้ายคำ จะเชื่อมกับเสียง e หน้าคำ ดิฉันฟังในเพลงออกเสียงว่า ยัวร์-รายซ , sun is เสียง n ท้ายคำ จะเชื่อมกับเสียง i หน้าคำ , war outside เสียง r ท้ายคำ จะเชื่อมกับเสียง o หน้าคำ  จากการเชื่อมเสียงในบทเพลงนี้ ดิฉันสังเกตได้ว่า ส่วนใหญ่ที่มีการเชื่อมเสียงระหว่างคำนั้น พยางค์ที่ตามหลังจะขึ้นต้นด้วยสระ
นอกจากการเรียนรู้เรื่องการเชื่อมเสียงระหว่างคำในบทเพลงนี้แล้ว ดิฉันยังได้เรียนรู้คำศัพท์ยากในบทเพลงนี้ที่ดิฉันไม่คุ้นเคย ได้แก่ tears แปลว่า น้ำตา , streaming แปลว่า ที่ไหลหลั่ง , shadows แปลว่า เงา , alright แปลว่า ไม่เป็นไร , raging on แปลว่า ที่บ้าคลั่ง , lullaby แปลว่า เพลงกล่อมเด็ก จากคำศัพท์เหล่านี้ ทำให้ดิฉันพอจะเข้าใจความหมายของเนื้อเพลงนี้บ้างว่า ฉันจำน้ำตาที่ไหลรินบนแก้มของเธอได้ ฉันบอกว่าฉันจะไม่มีวันทิ้งเธอไปไหน ฉันจำที่เธอบอกได้ว่าจะไม่ทิ้งฉันไว้ลำพัง แต่ทุกอย่างที่ตายจากไป มันจะผ่านพ้นไปในคืนนี้ นอกจากนี้แล้วคำศัพท์ที่ได้จากบทเพลงนี้ ดิฉันจะเขียนใส่กระดาษด้วยปากกาสีหลากหลายสีสัน แล้วนำไปแปะไว้ในห้องน้ำ เพราะในระหว่างที่ดิฉันเข้าห้องน้ำ ดิฉันจะได้ท่องคำศัพท์พวกนี้ไปด้วย ซึ่งสำหรับดิฉันมันเป็นการท่องจำศัพท์ที่ไม่น่าเบื่อ ทั้งนี้ดิฉันจะพยายามนำคำศัพท์เหล่านี้มาใช้ในการสื่อสารด้วย เพราะจะได้จำจดมากยิ่งขึ้นหากเรามีการนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน
ในบทเพลงนี้ดิฉันยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Tense ที่ใช้ในบทเพลงนี้ ดิฉันสังเกตได้ว่ามี Present simple tense ได้แก่ I remember tears streaming down your face. และ Everything is on fire ในทั้งสองประโยคนี้มีการใช้รูปกิริยาช่องที่ 1 ปกติ โดย Tense นี้มีโครงสร้างประโยคดังนี้ Subject + verb1  ต่อมาคือการใช้ Past simple tense ในเพลงนี้ ได้แก่  All those shadows almost killed your light. ประโยคนี้มีการเปลี่ยนรูปกิริยาเป็นกริยาช่องที่ 2 โดย Tense นี้ มีโครงสร้างประโยคดังนี้ Subject + verb2  และยังมีการใช้ Future simple tense อีกด้วย ได้แก่ You will be alright. และ You and I will be safe and sound. จะเห็นได้ว่ามี will เพิ่มมา โดยมีโครงสร้างดังนี้ Subject + will/shall + verb1 นอกจากนี้แล้วในเพลงนี้มีการใช้ auxiliary verb คือคำว่า can ในประโยค No one can hurt you now ซึ่ง can ทำหน้าที่เป็นกิริยาช่วย มาขยาย hurt ซึ่งเป็นกิริยาหลักของประโยค
จากการฟังเพลงนี้ ดิฉันได้เรียนรู้การเชื่อมเรียงระหว่าง คำศัพท์ และTense ที่ใช้ในบทเพลงนี้ ดิฉันฟังเพลงนี้หลายรอบมาก ฟังซ้ำไปซ้ำมา จนซึมซับสำเนียงได้เล็กน้อย เพราะทุกครั้งที่เปิดเพลงดิฉันจะร้องตามไปด้วย แม้กระทั่งเวลาอาบน้ำ ดิฉันจะเปิดเพลงและร้องเพลงตามไปด้วย แม้ว่าการฟังครั้งแรกๆ จะยังฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ดิฉันก็พยายามเปิดฟังหลายๆครั้ง และดิฉันก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากเพลงหนึ่งเพลง ดิฉันได้ฝึกออกเสียง ได้ท่องจำคำศัพท์ที่ฉันไม่คุ้นเคยในวิธีที่ดิฉันผ่อนคลาย ได้ฟังสำเนียงของเจ้าของภาษาและออกเสียงไปพร้อมกับเขา ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่มีความสุข และดิฉันจะนำการเรียนรู้ในบทเพลงนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและดิฉันเชื่อว่า ดิฉันจะมีการพัฒนาทางด้านภาษาได้ดีเพราะดิฉันยังมีความมุ่งมั่นและตั้งใจ
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองของดิฉันในวันพฤหัสบดี ที่ 22 ตุลาคม 2558 คือ การแชทคุยกับชาวต่างชาติ ดิฉันได้ค้นหาใน google ว่า มีแอปพลิเคชั่นอะไรบ้างที่ไว้แชทคุยกับชาวต่างชาติเพื่อพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ ได้แก่ Hello Talk , Kik , Skout ดิฉันได้เลือกดาวน์โหลดสองแอปพลิเคชั่นลงโทรศัพท์มือถือ คือ Hello Talk และ Kik ซึ่ง Hello Talk เป็นแอปพลิเคชั่นที่ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ภาษาโดยเจ้าของภาษาจากทั่วโลก มีภาษาให้เลือกเรียนรู้กว่า 100 ภาษา ซึ่งสามารถติดต่อกับเจ้าของภาษานั้นๆเพื่อเริ่มต้นการเรียนรู้และการฝึกได้ทันที ดิฉันสมัครเข้าใช้งานใน Hello Talk และค้นหาชาวต่างชาติที่ต้องการเรียนรู้ภาษาไทย ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษ เพื่อที่ดิฉันจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ภาษากับชาวต่างชาติที่ต้องการเรียนภาษาไทย และในทางเดียวกันดิฉันก็มีความต้องการในการเรียนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาด้วย
เมื่อดิฉันค้นเจอชาวต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษ และมีความต้องการที่จะเรียนรู้ภาษาไทยแล้ว ดิฉันก็ทักแชท Say Hello กับเขา และบอกความต้องการของดิฉันว่า อยากให้คุณช่วยสอนภาษาอังกฤษให้ฉันหน่อยได้ไหม เขาก็ตอบตกลง และดิฉันก็บอกเขาว่าจะสอนภาษาไทยให้กับเขา ซึ่งชาวต่างชาติที่ดิฉันค้นเจอในแอปพลิเคชั่นนี้ เขาชื่อ Jerry เขาอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ภรรยาของเขาเป็นคนไทย และมีลูกสาวอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เขาวางแผนจะมาประเทศไทยในปีหน้าและอยู่ประมาณ 6 เดือน เขาบอกว่าจะไปเที่ยวพักผ่อนให้ทั่วประเทศไทย ดิฉันก็ถามเกี่ยวกับอาหารไทยว่าชอบอะไรบ้าง เขาชอบกินไอศกรีมประเทศไทย หลังจากนั้นดิฉันก็บอกเขาเกี่ยวมลภาวะทางอากาศในประเทศไทยทางตอนใต้ในตอนนี้ว่ามีควันไฟจากประเทศอินโดนีเซียปกคลุม
การสนทนาระหว่างดิฉันกับเขาอาจจะมีบางคำที่ดิฉันยังไม่เข้าใจความหมายบ้าง และพยายามใช้อีโมติคอนสื่อสารบ้าง แต่เขาก็พยายามอธิบายให้ฉันเข้าใจด้วยการใช้คำง่ายๆ มีบางประโยคที่ดิฉันใช้ไวยากรณ์ผิด Jerry ก็แก้ไขประโยคให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ให้ดิฉันด้วยแอปพลิเคชั่นใน Hello Talk การคุยกับ Jerry ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้การใช้ประโยคที่จะสนทนาเพื่อจะทำให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราจะสื่อสาร อีกทั้งยังได้เรียนรู้คำศัพท์จาก Jerry ด้วย เช่นคำว่า trade out ตอนแรกดิฉันก็งงว่าคำดังกล่าวหมายถึงอะไร และค้นหาใน google ซึ่งมีความหมายเดียวกับคำว่า exchange ที่ฉันรู้จัก ดิฉันก็ถาม Jerry ว่า trade out = exchange ? เขาก็ตอบว่าใช่ และนั่นก็ทำให้ดิฉันได้คำศัพท์ใหม่อีกหนึ่งคำจากการคุยกับ Jerry
ชาวต่างชาติอีกหนึ่งคนที่ดิฉันคุยกับเขาผ่านทาง Hello Talk เขาชื่อ Nomi เป็นชาวปากีสถาน ดิฉัน Say Hello ไปทางแชท แล้วเขาก็ตอบกลับว่า Hi morning. Have a blessed day ดิฉันก็ตอบกลับไปด้วย Morning. Have a good day พร้อมส่งรอยยิ้มของอีโมติคอนไปเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการคุย เมื่อทำความรู้จักกันแล้วก็คุยเรื่องทั่วไปตามปกติ เขาบอกว่ามาจากปากีสถาน แล้วก็พูดภาษาไทยได้ด้วย เขาถามว่าฉันอยู่ที่ไหน เรียนอะไร ที่มหาวิทยาลัยอะไร เขาบอกว่าเขาเรียน Biomedical Engineering ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ดิฉันก็มีเพื่อนเรียนอยู่ที่นั่นเหมือนกัน เขาอยู่ประเทศไทยมา 4 ปีแล้ว แล้วก็คิดถึงบ้านมากๆ และจบบทสนทนาด้วยการคุยเรื่องควันไฟที่มาจากประเทศอินโดนีเซีย เขาก็ถามว่าที่ดิฉันอยู่เป็นอย่างไรบ้าง ฉันก็ตอบไปว่า That’s bad.
จากการใช้แอปพลิเคชั่น Hello Talk ในการแชทคุยกับ Jerry และ Nomi ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่จากพวกเขา พัฒนาทักษะการเขียน และยังได้พัฒนาสมองอีกด้วย เพราะดิฉันต้องนึกคำศัพท์และค้นหาคำศัพท์ที่จะใช้สื่อสารกับพวกเขา นอกจากนั้นยังได้เห็นการใช้ภาษาอังกฤษของเจ้าของภาษาอีกด้วย และยังได้เพื่อนใหม่ในโลกโซเชียลเพิ่มมาอีกสองคน มันอาจจะดูยากสำหรับการเริ่มต้นการเรียนรู้ภาษาด้วยตนเอง แต่ดิฉันคิดว่า ด้านได้อายอด หากเราอยากได้สิ่งดีๆ เราต้องกล้าที่จะทำในสิ่งนั้น หากเราอยากได้ภาษา เราก็ต้องหันหน้าเข้าไปคุยกับเจ้าของภาษา หากเราอยากได้ความรู้ เราก็ต้องศึกษา โลกนี้หมุนไปเรื่อยๆ โลกเปลี่ยนไปในทุกวัน เราก็ต้องพัฒนาตนเองในทุกๆวัน เพื่อให้ทันโลกทันเหตุการณ์ ทันคนอื่นที่อยู่รอบตัวเรา แล้วจะมีผลตอบลัพธ์ที่ดีเกิดขึ้นกับเราและจะทำให้เราเกิดความภาคภูมิใจในตัวเราเองที่มีความพยายาม
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองของดิฉันในวันศุกร์ ที่ 23 ตุลาคม 2558 คือ การดูหนังเรื่อง Animals Farm เป็นกิจกรรมหนึ่งในรายวิชาวรรณคดีภาษาอังกฤษ ที่ให้นักศึกษาดูภาพยนตร์เรื่อง Animals Farm ซึ่งเป็นเป็นวรรณกรรมอมตะ แนวเสียดสีการเมือง การดูภาพยนตร์มีความยากลำบากมากในการฟัง เพราะดิฉันฟังที่ตัวละครพูดไม่ค่อยเข้าใจ ระหว่างที่นั่งดูไปเรื่อยๆ ดิฉันก็เริ่มงงและสับสนในภาษา แต่ดิฉันก็พอจะคาดเดาได้เล็กน้อยจากภาพ กิริยาท่าทาง และสีหน้าของตัวละคร จากการดูหนังเรื่องนี้ดิฉันพอจะจับใจความของเรื่องได้ว่า มีสัตว์หลายชนิดที่อยู่ร่วมกันในฟาร์มแห่งหนึ่ง ซึ่งมีชาวนาขี้เมาเป็นเจ้าของ แต่เพราะการดื่มสุรามากเกินไปทำให้เขาละเลยและไม่รับผิดชอบ ไม่ใส่ใจดูแลสัตว์ในฟาร์มเป็นเหตุให้พวกสัตว์ทั้งหลายรวมตัวกันปฏิวัติโดยมีผู้นำเป็นหมู 2 ตัวเข้ายึดอำนาจจากเจ้าของฟาร์ม และภายในฟาร์มมีการเปลี่ยนระบบปกครองใหม่ สัตว์ทุกตัวขยันทำงาน และทำงานแค่สัปดาห์ละ 3 วัน
การดูภาพยนตร์มีอุปสรรคมากสำหรับดิฉัน ทำให้ดิฉันต้องเปิดดูอีกครั้ง ไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น แต่มากกว่านั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในภาพยนตร์ตัวละครมีการพูดที่รวดเร็ว ทำให้ดิฉันฟังยาก และจับใจความของคำพูดไม่ค่อยถูก  แต่ดิฉันก็จะพยายามฟัง และทำความเข้าใจให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามดิฉันก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากการดูภาพยนตร์เรื่องนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าการดูภายนตร์เรื่องนี้จะมีอุปสรรคเป็นส่วนใหญ่ ประโยชน์ที่ได้รับจากการดูภาพยนตร์เรื่องนี้ คือดิฉันได้ฟังสำเนียงการพูดของตัวละคร ทำให้เกิดการเลียนแบบในการพูดเพื่อให้มีความใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากที่สุด และนอกจากนั้นแล้วดิฉันยังได้เห็นการสะท้อนด้านการเมืองของสังคมและวัฒนธรรมของชาวต่างชาติผ่านทางภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย
นอกจากการดูภาพยนตร์แล้ว ดิฉันยังฟังเพลง Let her go ซึ่งเป็นเพลงที่ดิฉันฟังแล้วรู้สึกชอบมาก เพราะน้ำเสียงของนักร้องมีความเป็นเอกลักษณ์ และลักษณะของเพลงก็มีความเรียบง่าย แต่ฟังแล้วมีเสน่ห์ การฟังเพลง Let her go ดิฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับการออกเสียงของ Final sound คือการออกเสียงที่พยัญชนะท้าย ซึ่งมีความสำคัญมากในการพูดภาษาอังกฤษ เพราะถ้าออกเสียงไม่ชัดก็อาจเปลี่ยนความหมายของคำนั้นได้เลย ส่วนใหญ่ที่เน้นๆ คือการออกเสียง /t/ , /d/และ /s/ ซึ่งอยู่ท้ายคำ เช่น /t/ :  let , fast --  /d/ : and , need , understand --  /s/ :  miss , sounds , starts , glass นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมเสียงระหว่างคำ ได้แก่ when it เสียง n ท้ายคำ เชื่อมกับเสียง i หน้าคำ Staring at เสียง g ท้ายคำ เชื่อมกับเสียง a หน้าคำ , bottom of เสียง m ท้ายคำ เชื่อมกับเสียง o หน้าคำ old empty เสียง d ท้ายคำ เชื่อมกับเสียง e หน้าคำ , and it เสียง d ท้ายคำ เชื่อมกับเสียง i หน้าคำ , fall asleep เสียง l ท้ายคำ เชื่อมกับเสียง a หน้าคำ
นอกจากนี้ดิฉันยังสังเกตเห็นว่าในเพลงนี้มีคำว่า missin’ home เหมือนเป็นการละพยัญชนะ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในเพลง มาจากคำว่า missing home แปลว่า คิดถึงบ้าน และยังได้เรียนรู้คำศัพท์จากเพลงนี้อีกด้วย ได้แก่ ceiling แปลว่า การกรุผนังหรือเพดาน , burning แปลว่า ที่ถูกเผาผลาญ ส่วนใหญ่คำศัพท์ในเพลงนี้จะเป็นคำศัพท์ที่ไม่ยาก เป็นคำศัพท์ทั่วไปที่เราคุ้นชิน นอกเหนือจากการเรียนรู้คำศัพท์แล้วดิฉันยังได้ฝึกออกเสียงด้วยการร้องเพลง ดิฉันร้องหลายรอบจนเริ่มจำเนื้อเพลงได้บ้าง แม้ขณะที่ดิฉันอาบน้ำ ดิฉันจะเปิดเพลงและร้องตาม ดิฉันรู้สึกว่าการออกเสียงของดิฉันมีการพัฒนาขึ้น เพราะดิฉันพยายามเลียนแบบสำเนียง การออกเสียงคำศัพท์จากเพลง
จากการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยเพลง Let her go ดิฉันสามารถนำเรื่องของ final sound และการเชื่อมเสียงระหว่างคำ มาใช้ในการสนทนาภาษาอังกฤษได้ด้วย เพราะจะทำให้เกิดอรรถรสในการสนทนามากขึ้น และทำให้การพูดภาษาอังกฤษของเราดูเป็นธรรมชาติ อาจจะไม่เทียบเท่ากับเจ้าของภาษา แต่ดิฉันคิดว่าก็เป็นการพัฒนาที่ดีขึ้นในระดับหนึ่ง นอกจากนี้แล้วคำศัพท์ที่ได้จากเพลงนี้ ดิฉันก็ทำเหมือนเช่นเคย คือนำมาเขียนลงกระดาษแล้วนำไปแปะในห้องน้ำ เพราะระหว่างที่เราเข้าห้องน้ำเราก็สามารถท่องคำศัพท์ไปได้ด้วย
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองของดิฉันในวันเสาร์ ที่ 24 ตุลาคม 2558 คือ การดูหนังเรื่อง paper town การดูหนังสำหรับดิฉันก็ยังมีอุปสรรคอีกเช่นเคย ดิฉันพยายามดูและตั้งใจฟังในสิ่งที่ตัวละครพูด แต่ดิฉันก็เข้าใจแค่ไม่กี่ประโยคจากหนังทั้งเรื่อง ดิฉันก็ไม่ลดความพยายามลงแค่นั้น ดิฉันก็เปิดดูอีกครั้งหนึ่ง ครั้งที่สองที่ดูก็พอจะรู้แล้วว่าหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไร โดยการสังเกตจากบุคลิก สีหน้า ท่าทาง ของตัวละคร แต่ดิฉันก็ยังฟังที่ตัวละครพูดไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ ถึงอย่างไรก็ตามดิฉันรู้สึกว่าการดูครั้งที่สองจะดีขึ้นกว่าครั้งแรกสักหน่อย
ถึงแม้การดูหนังของดิฉันอาจจะมีอุปสรรคทุกครั้ง คือ การฟังที่ดิฉันฟังตัวละครพูดไม่เข้าใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันได้รับจากการดูละครทุกครั้งคือ สำเนียงการพูดของเจ้าของภาษา ถึงแม้จะฟังไม่เข้าใจ แต่เราก็ได้เรียนรู้และซึมซับสำเนียงของเจ้าของภาษาไปบ้างแล้ว ส่วนนี้ก็อาจช่วยในการพัฒนาทักษะด้านการพูดของดิฉันได้ด้วย และดิฉันจะนำสิ่งนี้ไปใช้ในการสื่อสาร เพื่อให้เกิดการพัฒนามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้หนังทุกเรื่องที่ฉายออกมาก็ยังมีการแสดงถึงลักษณะทางวัฒนธรรม การใช้ชีวิตในสังคม ของคนในประเทศนั้น ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ไปในตัวด้วย
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองของดิฉันในวันอาทิตย์ ที่ 25 ตุลาคม 2558 คือ การฟังเพลง My heart will go on เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Titanic จากการฟังเพลงดิฉันได้เรียนรู้การออกเสียงที่ถูกต้องของคำแต่ละคำในเพลง เช่น คำว่า heart ที่ดิฉันมักออกเสียงผิดอยู่เสมอ ดิฉันมักออกเสียงว่า เฮิร์ด แต่จริงๆแล้วต้องออกเสียงว่า ฮาร์ด ได้เรียนรู้การเชื่อมเสียงระหว่างคำด้วย จากการฟังเพลงสากลหลายๆเพลง ดิฉันสังเกตได้ว่า เขาจะการเชื่อมเสียงระหว่างคำทุกครั้งเมื่อคำที่ตามหลังขึ้นต้นด้วยสระ a , e , i , o ,u ยกตัวอย่างจากเพลงนี้ ได้แก่ between us พยัญชนะท้ายของคำแรกจะเชื่อมกับพัยญชนะแรกของคำท้าย go on and on การเชื่อเมสียงระหว่างคำจะทำให้การพูดภาษาอังกฤษดูมีเสน่ห์ขึ้น
การฟังเพลง My heart will go on หลายๆครั้ง ทำให้ดิฉันฝึกร้องเพลงตามได้บ้าง เพลงนี้มีจังหวะที่ช้า ทำให้สามารถฝึกร้องและฝึกออกเสียงได้ง่าย นอกจากได้ฝึกออกเสียงแล้ว ดิฉันยังได้คำศัพท์จากเพลงนี้ด้วย ได้แก่ go on แปลว่า ทำต่อไป , distance แปลว่า ความห่างไกล , lifetime แปลว่า ระยะเวลาที่ยาวนาน คำศัพท์จากเนื้อเพลงดิฉันจะนำไปเขียนใส่ลงกระดาษและแปะไว้ที่ห้องน้ำ เพราะขณะที่เข้าห้องห้องน้ำ ดิฉันก็สามารถท่องคำศัพท์ไปได้ด้วย

จากการเรียนรู้นอกห้องเรียน ดิฉันได้เรียนรู้ด้วยวิธีหลากหลาย อาทิเช่น การฟังเพลง การดูหนัง กรคุยกับชาวต่างชาติผ่านแอพบนโทรศัพท์มือถือ การฟังเพลงทำให้ดิฉันได้เรียนรู้คำศัพท์ การออกเสียง การเชื่อมเสียงระหว่างคำ ซึ่งดิฉันสามารถนำไปพัฒนาและฝึกทักษะต่างๆให้ดีขึ้นได้ การดูหนัง ถึงแม้ดิฉันจะฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ดิฉันก็ได้ซึมซับสำเนียงของเจ้าของภาษาจากการดูหนัง ได้เห็นวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาผ่านหนัง และการคุยกับชาวต่างชาติผ่านแอพโทรศัพท์มือถือ ทำให้ดิฉันมีทักษะการอ่าน การเขียนมากขึ้น เพราะดิฉันจะต้องดูคำศัพท์ ดูประโยคที่เขาพิมพ์ส่งมา และดิฉันก็ต้องตอบโต้กลับ ในขณะเดียวกันทำให้ดิฉันได้คำศัพท์เพิ่มเติม เพราะทุกครั้งที่ดิฉันจะพิมพ์ข้อความส่งกลับ ดิฉันจะต้องค้นหาคำศัพท์ก่อนว่าคำนั้นถูกต้องไหม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น