วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning log week 8 ( Outside Class )

          
            การเรียนภาษาที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่ง คือ การเรียนโดยผ่านเพลง  ข้อดีของการเรียนภาษาทางเพลงนั้นค่อนข้างจะได้ผลในเรื่องของสำเนียง เพราะการร้องเพลงนั้น  นักร้องจะใช้พลังเสียงในหารร้องอย่างเต็มที่ และเสียงที่ออกมาจะมีพลัง  พวกเราฝึกร้องเพลงตามนักร้องที่เราชื่นชอบ  เราจะรับรู้ได้ถึงท่วงทำนองการร้องเพลง  ได้มีโอกาสเลียนแบบสำเนียงจากเจ้าของภาษาจริงๆ  และการร้องเพลงถือได้ว่าเป็นการผ่อนคลายความเครียดจากกการเรียนได้ดีอีกวิธีหนึ่ง  นอกจากนั้น  แล้วก็ยังสามารถนำไปฟังได้ทุกที่ อีกทั้งยังพัฒนาทักษะการฟังของเราอีกด้วย
            วันอังคารที่  22  กันยายน  พ..  2558  ดิฉันฟังเพลง  As  Long  As  You  Love  Me  ของศิลปิน Justin  Bieber  ความหมายของเพลงนี้คือ  ตราบเท่าที่เธอยังคงรักฉันอยู่  Although  loneliness  has  always been  a  friend  of  mine  แม้ว่าจะมีความเหงาเป็นเพื่อนอยู่เสมอ  สำนวน  a  friend  of  mine  คือ เป็นเพื่อนคนหนึ่งของฉัน โครงสร้าง … of + คำแสดงความเป็นเจ้าของพวก  mine , his , her , theirs ส่วนกริยา has always  been  หมายถึง  เป็นเช่นนั้นเสมอ เป็นมานานแล้ว  เช่น  He has  always been  my  good  friend. (เขาเป็นเพื่อนที่ดีของฉันเสมอมา)
            I’m  leaving  my  life  in  your  hands.  แต่ฉันก็จะขอฝากชีวิตไว้กับเธอสำนวน  to  leave  one’s life  in  one’s  hands  หมายถึง  ฝากชีวิตไว้ในมือของคนใดคนหนึ่ง  People  say  I’m  crazy  and  I  am blind  หลายคนบอกว่า  ฉันบ้า  ฉันตาบอด  คำว่า  crazy  นั้นหมายถึง  บ้าหรือคลั่งไคล้  ส่วนคำว่า  blind  ก็คือ  ตาบอด  หากใช้ในเรื่องของความรัก  ก็จะเป็นการเปรียบเทียบว่า  รักนั้นทำให้ตาบอด  สุภาษิตที่ใช้กันคือ  Love  is  blind  หมายถึง  ความรักทำให้คนตาบอด
            Risking  It  all  in  a  glance  การนำทุกอย่างมาเสี่ยงในชั่วแป๊บเดียว  คำว่า glance หมายถึง ในช่วงเห็นแว้บเดียว  สำนวนที่ใช้กันก็คือ  to  take  a  glance  at  +  สิ่งใดหรือคนใด  หมายถึง  มองไปที่สิ่งนั้นหรือคนนั้นแว้บหนึ่ง  คำว่า  to  risk  นั้นก็คือ  เสี่ยงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  เช่น  Don’t  risk your  life.  อย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงนะ  คำว่า  it  ก็คือ  ความรักที่ให้ไปนั่นเอง  สามารถนำไปใช้ในลักษณะอื่นได้  เช่น  Don’t  risk  all  of  your  money  in  one  business.  อย่าเสี่ยงเอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจอะไรเพียงอย่างเดียว

            How  you  got  me  blind  is  still  a  mystery. และก็ยังไม่รู้ว่าเธอทำให้ฉันตาบอดได้อย่างไร สำนวน  to  get  +  someone  +  blind  หมายถึง  ทำให้คนใดคนหนึ่งนั้นตาบอด  สำนวนว่า  is  still  a mystery  ก็คือ  ยังคงเป็นสิ่งที่ลี้ลับอยู่  สำนวนนี้เป็นสำนวนยอดฮิตอีกเหมือนกัน  อะไรก็ตามที่โลกวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เขาก็จะใช้สำนวนนี้มาช่วยอธิบาย  I  can’t  get  you  out  of  my  head.  ฉันลืมเธอไม่ได้(เอาเธอออกไปจากใจไม่ได้)  To  get  +  someone  +  out  of  one’s  head. ก็คือ  เอาคนใดคนหนึ่งออกไปจากหัวหรือความทรงจำ  ซึ่งก็คือ  การลืม
            Don’t  care  what  is  written  in  your  history. ไม่เคยใส่ใจเลยว่าในอดีตนั้นเธอจะเป็นอย่างไร สำนวน  Don’t  care  หมายถึง  ไม่สนใจ  ส่วน  what  is  written  in  your  history  ก็คือ  สิ่งที่เขียนไว้ในประวัติศาสตร์ของเธอ  เรียกว่า  ไม่สนหรอกว่าเธอจะมีประวัติที่ด่างพร้อยมากเพียงใด  แต่ที่รู้ก็คือ  ตอนนี้รักเธอเป็นพอ  As  long  as  you’re  here  with  me  ตราบใดที่เธอยังอยู่กับฉัน  สำนวน  As  long  as  ใครคนใดคนหนึ่ง  กริยา  is / am / are  +  here  with  + ใคร  ก็คือ  ตราบใดที่คนใดคนหนึ่งอยู่ที่นี่กับคนนั้น                            I  don’t  care  who  you  are  ฉันไม่สนว่าเธอเป็นใคร  where  you’re  from  ไม่เคยสนว่าเธอมาจากไหน What  you  did  ก็คือ  การใช้ประโยคที่เมื่อเอาคำแสดงคำถามมาอยู่กลางประโยค  ต่อมาจะต้องเป็นประธาน ตามด้วยกริยา  I  don’t  care  who  are.  I  don’t  care  where  you  are  from.  I  don’t  care  what  you  did.
            As  long  as  you  love  me  ตราบที่เธอยังรักฉัน  Every  little  thing  that  you  have  said  and done. สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เธอพูดและทำนั้น  สำนวน  Every  little  thing  that you have said and (have) done เขาละคำว่า  have ไป เพราะมันจะไปใช้ร่วมกับกริยาในส่วนแรก ที่ใช้ในรูปของ have + กริยาช่อง 3 หมายถึงว่า ที่ทำและที่พูดแล้ว (เมื่อไหร่ไม่สน) ที่บอกว่าสนใจก็คือ เรื่องเล็กๆน้อยๆต่างหาก Every little thing. Feels like it’s deep within me ดูเหมือนว่าจะฝังลึกลงในใจฉัน Doesn’t really matter if you’re on the run. และก็ไม่สำคัญอะไรเลย หากเธอจะปิดบังอะไรฉัน สำนวน to be on the run มีสองความหมาย คือ วิ่งหนี กับ ปิดบังอยู่ สำนวน doesn’t matter หมายถึง ไม่สำคัญ หากจะบอกว่า สำคัญ ก็คือ It matters.
            It seems like we’re meant to be ดูเหมือนว่า เราถูกสร้างมาเป็นคู่กัน สำนวน It seems like … หมายถึง ดูเหมือนว่า ใช้เวลา ผู้พูดต้องการจะสื่อความคิดเห็น ความรู้สึก ส่วน to be meant to + กริยา หมายถึง ถูกสร้างมาเพื่อที่จะ เช่น She is not meant to be my girlfriend. หล่อนไม่ได้ถูกสร้างมาให้เป็นแฟนฉัน I’ve tried to hide it หมายถึง พยายามที่จะปิดบังไว้ ส่วน no one knows ก็คือ ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ระวังการใช้กริยาด้วย เขาให้ใช้ในรูปเอกพจน์ But I guess it shows แต่ฉันคิดว่าความรักนั้นก็เผยตัวมันออกมาให้เห็น สำนวน I guess คือ ฉันคิดว่า When you look into my eyes เมื่อเธอมองที่ตาฉัน สำนวน to took into someone’s eyes คือ มองเข้ามาในตา ซึ่งเป็นหน้าต่างของหัวใจ What you did and where you’re coming from เธอทำอะไรมา และเธอมาจากไหน I don’t care, as long as you love me, baby. ฉันไม่สนใจเลย ตราบใดที่เธอยังรักฉัน
            วันพุธที่ 23 กันยายน พ..2558 ดิฉันฟังเพลง Take Me to Your Heart ของศิลปิน Michael learns to rock เพลงนี้เป็นเพลงที่เพราะมาก ทำให้จิตใจเราสบายและเพลงก็ฟังสบาย เหมาะกับคนที่กำลังขาดความรักความอบอุ่นทางใจ เพลงนี้มีความหมายดี Take Me to Your Heart โปรดรับฉันไว้ในใจเธอ แค่ชื่อเพลงก็รู้สึกดีแล้ว คงไม่มีสำนวนอะไรที่ยากหรอก แค่บอกว่า Take me to your heart ก็คือ ช่วยเอาตัวฉันใส่ไว้ในใจเธอด้วยนะ จากสำนวนว่า to take + ใคร + to ที่ใด ก็คือ พาคนๆนั่นไปที่นั่น
            Hiding from the rain and snow หลบฝนหลบหิมะที่หนาวเหน็บ สำนวน to hide หมายถึง ซ่อน เช่น The thief always hides the stolen items. ขโมยมักจะซ่อนของที่ขโมย ส่วนที่ไว้ที่ไหนนั้น หากจะต้องการบรรยายก็ใช้คำบุพบทก็ใช้คำบุพบทไปตามเรื่อง เช่น under(ใต้) in(ใน) ส่วนสำนวนที่เห็น to hide from ก็คือ ซ่อนตัวจาก หลบจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยการซ่อน ในภาษาเพลง เราจะเจอคำนี้ถูกนำมาใช้ในเชิงความรู้สึกได้ เช่น I can’t hide my gladness. ฉันเก็บซ่อนความดีใจไว้ไม่อยู่ She can hide her disappointment. เธอสามารถซ่อนความผิดหวังได้
            Trying to forget but I won’t let go พยายามลืมแต่ลืมไม่ลง สำนวน to try to do หมายถึง พยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ส่วนสำนวนว่า to let go หมายถึง ปล่อยให้ผ่านไป อย่าไปคิดถึงมันเลย มาจากสำนวน to let + go ในที่นี้คือ ปล่อยให้มันผ่านไปไม่ได้ Looking at a crowded street มองออกไปถนนที่คลาคล่ำด้วยผู้คน สำนวนที่น่าสนใจคือ a crowded street หมายถึง ถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน
            Listening to my own heart beat ฟังเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง คนแต่งเพลงใช้คำคล้องจองดีมาก จาก looking มาสู่ listening สำนวน to listen to หมายถึง ฟัง หากเป็นฟังเพลงก็ to listen to music ในเนื้อเพลงคือ ฟังเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง เราก็คุ้นกับสำนวนว่า My heart is beating. หัวใจฉันเต้น คำว่า to beat หมายถึง เต้น (เป็นการเต้นของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง) หากคุ้นกับภาษาเพลงรัก มักจะได้ยินสำนวนว่า Do you hear my heart beating? นี่เธอได้ยินเสียงหัวใจฉันเต้นไหม
            So many people all around the world มีคนมากมายเหลือเกินบนโลกนี้ สำนวน all around the world หมายถึง ทั่วโลก มาจากคำว่า all around + คำนามที่เป็นสถานที่ หมายถึง ทั่วไปหมด เช่น all around the house ทั่วบ้าน all around the country ทั่วประเทศ Tell me where do I find someone like you girl ช่วยบอกฉันทีเถอะ ฉันจะหาผู้หญิงอย่างเธอได้จากที่ไหน เมื่อเห็นคำว่า someone like you girl หมายถึง ผู้หญิงอย่างเธอ เราสามารถนำไปใช้ทั้งในแง่ดีและแง่ร้ายได้ แล้วแต่อารมณ์ของคนใช้ เขาใช้คำมาเรียงต่อกัน you girl หรือ you guy หรือ you boy
            Take me to your heart , take me to your soul รับฉันไว้ในใจด้วยนะ รับฉันไว้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต Give me your hand before I’m old ยื่นมือเธอมาให้ฉันกุมก่อนที่ฉันจะไม่มีเวลา Show me what love is haven’t  got a clue บอกฉันหน่อยซิว่า รักนั้นเป็นฉันใด ฉันไม่รู้จริงๆนะ
สำนวน  Show  me  +  สิ่งใดสิ่งหนึ่ง  ก็คือ  งัดเอาสื่งนั้นมาให้ดูหน่อย  ในที่นี้คือ  Show  ma  what  love  is  หวานซะไม่มี  อะไรกันรักนั้นเป็นยังไง  โครงสร้างที่ขอให้จดจำคือ  เวลามีพวก  What  ,  When  ,  Where  , why  , how  อยู่กลางประโยคแบบนี้  ต้องเอาประธานมาไว้หน้ากริยา  ส่วนสำนวนต่อไปนี้  to  have  a  clue  หมายถึง  บอกใบ้  clue  คือ  สิ่งชี้แนะไปสู่คำถาม  ดังนั้น  หากต้องการจะสื่อว่า  ฉันไม่รู้คำใบ้เลย
            Show  me  that  wonders  can  be  true  ได้โปรดทำให้ฉันรู้เถอะว่า  ปาฏิหาริย์นั้นมีจริง  สำนวน  wonders  นั่นคือ  สิ่งมหัศจรรย์  เรามักจะได้พบคำว่า  wonderful  คือ  คำคุณศัพท์  หมายถึง  มหัศจรรย์  สวบงามมาก  เลิศมาก  อร่อยมาก  They  say  nothing  lasts  forever  คนเขาพูดกันว่า  ไม่มีสิ่งใดยั่งยืนได้ตลอดไป  ประโยคนี้ใช้เป็นประโยคเตือนใจของเราได้เลยว่า  อยากจะทำอะไรก็ทำ  อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด  และสิ่งที่เกิดมันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา  นี่คือสัจธรรม  Nothing  last  forever  เช่นเดียวกับความรัก  ความทุกข์  เราสามารถประยุกต์ใช้ว่า  อะไรก็ตาม  doesn’t  last  forever  สิ่งนั้นไม่ได้ยั่งยืนอะไร
            We’re only  here  today  เราอยู่ด้วยกัน  ณ  ตรงนี้แล้ว  และในเมื่อรักมันไม่ได้ยั่งยืน  เราอยู่กันตรงนี้  ก็ควรทำสิ่งดีๆ  ต่อกัน  Love  is  now  or  never  เรามารักกันเถอะ  จากสำนวนว่า  Love  is  now  or  never  สำนวนนี้มาจากสำนวนว่า  now  or  never  ซึ่งเป็นตำพูดอมตะว่า  ทำตอนนี้หรือไม่ก็ไม่ต้องทำมันเลย  เช่น  Do  it  now  or  never  ทำมันซะตอนนี้หรือไม่ก็ไม่ต้องทำมันเลย  Go now  or  never  ไปก็ไป  ไม่งั้นก็ไม่ต้องไป  Bring  me  far  away  มันจะยิ่งทำให้เราห่างไกลออกไปอีก  สำนวน  Far  away  ก็คือ  ไกลออกไป  Take  me  to  your  heart  take  me  to  your  soul  รับฉันไว้ในใจเธอด้วยนะ
            Give  me  your  hand  and  hold  me  ส่งมือมาให้ฉันเถอะและกอดฉันไว้  สำนวน  to give  me  your  hand  ยื่นมือมาให้ฉัน  และ  hold  me    กอดฉันไว้  คำว่า  to  hold  ก็คือ  กอดไว้  Show  me  what  love  is-be  my  guiding  star  บอกฉันหน่อยสิว่า  รักนั้นเป็นฉันใด  ช่วยเป็นดาวนำทางให้ฉันเถอะ  สำนวน  guiding  star  ก็คือ  ดาวเหนือ  ที่คนมักใช้เป็นดาวในดารเดินทางเวลาหลงป่า  It’s  easy  take  me  to  your  heart  ไม่ยากเลย  เพียงแค่รับฉันเข้าไว้ในใจเธอ  Standing  on  a  mountain  high  ยืนตระหง่านอยู่บนเขา  คำว่า  high  ไปอยู่หลังคำว่า  mountain  นี่เป็นภาษาเพลง  ยืนอยู่บนภูเขา  แล้วยืดตัวขึ้นไปอีกให้สูงที่สุด
            Looking  at  the  moon  through  a  clear  blue  sky  มองดูดวงจันทร์ที่ลอยกระจ่างอยู่บนฟากฟ้าสดใส  ยืนให้สูงไว้ก็เพื่อที่มองไปที่ดวงจันทร์ผ่านท้องฟ้าที่สดใส  I  should  go  and  see  some  friends  น่าจะออกไปหาเพื่อนบ้างดีกว่า  สำนวน   to  go  and  see some  friends  เป็นภาษาที่เรียบร้อยง่าย  แต่กินใจ  But  they  don’t  really  comprehend  แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจฉัน  คำว่า  to  comprehend  เป็นคำหรูหรา  แต่เราก็คุ้นเคยเพราะมันนำไปสู่คำว่า  comprehension  หมายถึง  ความเข้าใจ  Don’t  need  too mush  taking  without  saying  anything  ไม่ต้องเอื้อนอ่อนอะไรหรอก  all  I  need  someone  who  makes  me  wanna  sing  ทั้งหมดที่ต้องการคือ  ใครสักคนที่ทำให้ฉันอยากจะร้องเพลงได้  สำนวน  makes  me  wanna  มาจาก  to  make  me  want  to  นั่นเอง
            วันพฤหัสบดีที่  24  กันยายน พ.ศ.  2558  ดิฉันฟังเพลง  Memory  ของศิลปิน  Barbra  Streisand  มีเนื้อเพลงว่า  Midnight  ,  not  a  sound  from  the  pavement  เที่ยงคืนแล้ว  ทางเดินเท้าเงียบกริบ  สำนวน  Not + คำนาม  หมายถึง  ไม่มีสิ่งนั้นแม้แต่สิ่งเดียว  เช่น  Not  a  panny  in  my  pocket.  ไม่มีเงินแม่แต่แดงเดียวในกระเป๋าฉัน  Not  a  house  in  this  area  ไม่มีบ้านในละแวกนี้สักหลัง Not  a  man  in  here  ไม่มีคนแม้แต่คนเดียวที่นี้  Has  the  moon  last  her  memory?  จันทร์เจ้าลืมแล้วหรือไร  สำนวน  To  lose  one’s  memory  หมายถึง  สูญเสียความทรงจำ  เช่น  The  patient  has  lost  his  money  คนไข้นั้นจำอะไรไม่ได้แล้ว
            She  is  smiling  alone  จึงยิ้มอยู่แต่ผู้เดียว  เขาเปรียบเทียบ  She  คือ  The  moon  in  the  lamplight  the  withered  leaves  collect  at  my  feet  ภายใต้แสงไฟ  ใบไม้เหี่ยวร่วงโรยหล่นกองอยู่แทบเท้าฉัน  สำนวน  in  the  lamp  light  ก็คือ  แสงไฟที่เกิดจากโคมไฟ  ส่วนไฟที่ส่องมาจากหลอดไฟนีออนยาวๆนั้น  เขาใช้คำว่า  a  fluorescent  light  ส่วนคำว่า  a  neon  light  หมายถึง  ไฟที่ใช้ในตามป้ายที่มีหลากสีสันที่เห็นโฆษณาทั่งเมือง
            And  the  wind  begins  to  moan  และสายลมเริ่มคร่ำครวญ  Memory , all  alone  in  the  moonlight  โอ้ความทรงจำ  สุดอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวท่ามกลางแสงจันทร์  สำนวน  in  the  moonlight  ก็คือ  ท่ามกลางแสงจันทร์  หากจะบอกท่ามกลางแสงตะวัน  in  the  sunlight  และที่เราจะพบบ่อยๆ  อีกก็คือ  moonlit  +  คำนามหมายถึง  ที่อยู่ใต้แสงจันทร์  เช่น  a  moonlit  dinner  =  อาหารค่ำใต้แสงจันทร์  ส่วนอาหารที่ทานกันใต้แสงเทียน  a  candlelit  dinner  ส่วน  sunlit  ก็เช่นกัน  เป็นการอธิบายว่าตรงไหนมีแสงอาทิตย์ส่องเจิดจรัสก็ใช้คำนี้ได้
            I  can  smile  at  the  old  days.  ฉันยังยิ้มออกเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ  สำนวน  to  smile  at  +  ใครหรือสิ่งของใด  หมายถึง  ยิ้มให้กับสิ่งนั้น  สำนวน  the  old  days  ก็คือ  คืนวันเก่าๆ  It  was  beautiful  then  ช่วงนั้นช่างเป็นช่วงที่มีความสุข  I  remember  the  time  I  knew   that  happiness  was  ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันรู้จักความสุขได้  Let  the  memory  live  again  ขอให้ความทรงจำนั้นกลับคืนมาอีกที  Every  streetlamp  seems  to  beet  a  a  fatalistic  warning  โคมไปตามท้องถนน  เหมือนจะเป็นการตักเตือนที่แสนจะโหดร้าย  Someone  mutters  and  this  streetlamp  sputters  เสียงคนพึมพำและเสียงโคมไฟกระพริบ  and  soon  it  will  be  morning  เดี๋ยวก็เช้าแล้วนะ
            Daylight  แสงตะวัน  I  must  wait  for  the  sunrise  ฉันต้องรอคอยเวลาฟ้าสาง  สำนวน  to  wait  for  +  ใครหรืออะไร  หมายถึง  รอคอย  ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้น  ชาวต่างชาติใช้คำว่า  the  sunrise  ส่วนตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน  เราใช้คำว่า  the  sunset  ในมุมมองของชาวต่างชาตินั้น  พระอาทิตย์ขึ้นนั้นแทนความงดงาม  เป็นความหวังของชีวิต  และช่วง  the  sunset  ก็คือ  ช่วงสิ้นสุดของการต่อสู้  I  must  think  of  a  new  life  ฉันต้องนึกถึงชีวิตใหม่  สำนวน  to  thing  of  +  สิ่งใด  จะหมายถึง  คิดถึง  And  I  mustn’t  give  in  และฉันจะต้องไม่ยอมแพ้  สำนวน  to  give  in  =  ยอมแพ้  เหมือนกับ  surrender
            When  the  dawn  comes,  tonight  will  be  a  memory  ,  too  เมื่ออาทิตย์อัสดงคืนนี้จะกลายเป็นเพียงแค่ความหลังเช่นกัน  อย่างที่บอกมาแล้วข้างต้นว่า  เมื่อยามที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็คือ  เสลาที่สรรพสิ่งจบสิ้นลง  ส่วนสำนวนว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่ง  +  will  be  a  memory  หมายถึง  สิ่งนั้นจะกลายเป็นความทรงจำ  And  the  new  day  will  begin  และวันใหม่ก็จะเริ่มขึ้น  (ความหวังใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นอีก)  Burnt  out  ends  of  smoky  day  ทำให้วันอันทุกข์ระทมสิ้นสุดลง  สำนวน  to  burn  out  +  สิ่งใด  ก็คือ  เผาผลาญให้สิ่งนั้นหมดไป  ในที่นี้ก็คือ  ทำให้วันที่มีควันนั้นหมดไป  คำว่า  smoky  หมายถึง  ที่เต็มไปด้วยคน
            The  stale  cold  smell  of  morning  กลิ่นอากาศเหม็นอับในยามเช้าอันเยือกเย็น  คำว่า  stale  cold  smell  of  morning  กลิ่นอากาศเหม็นอับในยามเช้าอันเยือกเย็น  คำว่า  stale  หมายถึง  ที่อับในที่นี้ก็คือ  กลิ่นอับของตอนเช้า  A  streetlamp  dies  ไฟถนนดับแล้ว  คำว่า  dies  ในที่นี้หมายถึง  ดับไป  Another  night  is  over  อีกคืนหนึ่งผ่านไปแล้วนะ  สำนวน  to  be  over  หมายถึง  สิ้นสุด  เช่น  The  game  is  over  การแข่งขันสิ้นสุดแล้ว  The  exam  is  over  การสอบสิ้นสุดลงแล้ว
                        Another  day  is  dawning  วันใหม่กำลังจะมาถึง  คำว่า  to  dawn  ก็คือ  เกิดขึ้นใหม่  Touch  me  สัมผัสฉันซิ  It’s  so  easy  to  leave  me  ง่ายเหลือเกินที่จะเดินจากฉันไป  All  alone  with  the  memory  of  my  days  in  the  sun  ให้อยู่โดดเดี่ยวกับความทรงจำของวันอันแสนสุข  in  the  sun  มักหมายถึงเวลาที่มีความสุข  It  you  touch  me ,  you’ll  understand  is  เข้าใจว่าความสุขนั้นเป็นเช่นไร  เราสามารถนำความรู้สึกอื่นเข้ามาประยุกต์ใช้ได้  Look! A new  day  has  begun  ดูนั้นซิ  วันใหม่ได้เริ่มแล้ว
            ทั้งนี้สิ่งที่น่าเรียนรู้ในการร้องเพลงนั้น  ไม่น่าจะหยุดอยู่แค่เพียงความสามารถในการร้องออกเสียงได้เหมือนหรือคล้ายที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น  แต่ผู้เรียนยังสามารถนำส่วนต่างๆ  ที่เรียนรู้จากการร้องเพลงมาประยุกต์ใช้ในการพูดในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย  ภาษาเพลงนั้นเป็นภาษาเฉพาะ  อาจจะไม่รู้ไวยากรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์  แต่ภาษาเพลงก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาเอง  การร้องเพลงได้มากเท่าไหร่  ก็ยิ่งเป็นการดีต่อตัวเองเท่านั้น  เพราะนอกจะเข้าถึงวัฒนธรรมและความคิดที่สอดแทรกอยู่ในเพลงที่ร้องแล้ว  เรายังฝึกตัวเองในการเข้าสังคมอีกด้วย  เพราะในอนาคตเราอาจจะถูกเชิญให้ไปร้องเพลง
            นอกจากการฟังเพลงภาษาอังกฤษซึ่งช่วยพัฒนาทักษะการฟังแล้ว  ดิฉันยังมีการฝึกอ่านคำคม  เนื้อหา  ที่เป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย  เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน  ทั้งนี้ข้อมูลที่นำมาอ่านนั้นส่วนใหญ่จะมาจากอินเตอร์เน็ต  จาก  Facebook  ซึ่งเป็นเพจคำคมภาษาอังกฤษ  ที่เกี่ยวกับการศึกษา  คนทั่วไปสามารถเข้าไปอ่านเพื่อให้แง่คิดต่างๆ  ได้มากมาย  และจะทำให้รู้ด้วยว่าตัวเราเองมีความสามารถในการอ่าน  วิเคราะห์  ภาษาอังกฤษมากน้อยแค่ไหน  ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างภาษาอังกฤษให้กับตัวเราเองด้วย        
            วันศุกร์ที่  25  กันยายน  พ.ศ.  2558  ดิฉันได้อ่านเรื่อง  Noun  Clause  โดยเนื้อหาที่อ่านเรื่อง  Noun  clause  มีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ  ทั้งนี้การที่ดิฉันพยายามอ่านเนื้อหาที่มีภาษาอังกฤษทั้งหมดเพราะ  ฝึกทักษะการอ่านของดิฉันด้วยว่ามีความเข้าใจไหม  ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้  A Noun  clause  is  a subordinate  clause  that  does  the  work  of  a  noun  in  a  sentence .  A  noun  clause  usually  begins  with  words  like  that  ,  what  ,  if  ,  whether  ,  how  ,  where  ,  who  ,  whom  ,  whose,  why  ,  however  ,  whatever  ,  whoever  ,  etc   Example :  She  does  not  know  where  he  went  whether  he  will  win  is  undecided.  Whatever  you  do  ,  do  it  well  A  noun  clause  acts  as  a  noun  in  a  sentence  .  It  can  be  function  in  different  ways.
            The  function  of  noun  clause  : 1)  as  subject  of  a  verb  :  what  route  we  take  is  our  choice.  2)  as  object  of  a  verb  :  I  thought  that  we  would  watch  a  movie.   We  know  that  a  noun  clause  can  function  as  the  object  of  the  the  verb  in  a  sentence.  It  can  also  function  as  the  object  of  a  participle  ,  a  preposition  or  an  infinitive  1)  as  object  of  a  participle  :  Discovering  that  it  was  right  ,  I  jumped  with  joy.  2)  as  object  of  a  preposition  :  Sometimes  I  think  of  what  he  said   3)  as  object  of  an  infinitive  :  Jim  wants  to  know  where  his  friends are.
            Let  us  look  at  more  functions  of  the  noun  clause  :  as  an  adjective  complement  :  the  girls  were  happy  that  Saturday  was  a  holiday.  As  a  complement  of  a  verb  of  incomplete  predication  :  The  problem  is  that  we  do  not  have  a  leader.  In  apposition  to  a  noun  or  a  pronoun  :  The  man  that  we  saw  there  is  Mr.  Harris .  As  we  have  seen  a  noun  clause  has  several  functions  in  a  sentence.  It  functions  :  as  subject  of  a  verb  ,  as  object  of  a  verb  ,  as  object  of  a  participle  ,  as  object  of  a  preposition  ,  as  object  of  an  infinitive  ,  as  an  adjective  complement ,  as  complement  of  a  verb  of  incomplete  predication  and  in  apposition  or  addition  to  a  noun  or  a  pronoun.
            We  have  looked  at  noun  clauses.  Now  let  us  read  some  more  examples.  1)  my  belief  is  that  we  will  win !  (complement  of  verb  of  incomplete  predication)  2)  sometimes  people  wish  that  they  could  go  back  in  time  (Object  of  a  verb)  3)  How  the  documents  missing  is  anvore’s  guess  (Subject  of  a  verb)  4)  Hoping  that  she  loved  chocolate  ,  Joshua  bought  a  box  of  bonbons.  (object  of  a  priciple)
            จากการอ่าน  Noun  clause    ที่มีเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด  ดิฉันพอจะจับใจความได้ว่า  Noun  clause    เป็นประโยครองที่ทำหน้าที่เป็นคำนามในประโยค  Noun  clause    ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วยคำว่า  that  ,  what  ,  if  ,  whether  ,  how  ,  where  ,  who  ,  whom  ,  whose,  why  ,  however  ,  whatever  ,  whoever  ,  etc  ซึ่งหน้าที่ของ  like  that  ,  what  ,  if  ,  whether  ,  how  ,  where  ,  who  ,  whom  ,  whose,  why  ,  however  ,  whatever  ,  whoever  ,  etc  มีดังนี้  เป็นประธานของกริยา  กรรมของกริยา  ซึ่ง  Noun  clause    ที่เป็นกรรมของกริยาสามารถแบ่งหน้าที่ออกได้  3  แบบ  คือ  กรรมของกริยาเติม  ing  หรือกริยาช่อง  2  ,  กรรมของคำบุพบท  และกรรมของกริยา  infinitive  นอกจากที่กล่าวมาแล้ว  ยังมีหน้าที่อีกมากมาย  Noun  clause    เช่น  คำขยายคุณศัพท์  ส่วนเติมเต็มกริยา  ขยายคำนามหรือคำสรรพนามดังนั้น  เราจะเห็นได้ว่า  Noun  clause      มีหน้าที่ที่หลากหลายในประโยค
            การฝึกอ่านเนื้อหาวิชาภาษาอังกฤษเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดนั้นเป็นการฝึกทักษะการอ่านอย่างหนึ่งในภาษาอังกฤษ  ช่วยทำให้เรารู้จักคำศัพท์มากขึ้น  ทำให้มีทักษะในการเรียงคำเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น  นอกจากการอ่านเนื้อหาที่จะเรียนแล้ว  ดิฉันยังได้อ่านคำคมที่เป็นภาษาอังกฤษ  ในคำคมมีคำใช้สละสลวย  คำศัพท์บางคำแปลกตา  ไม่เคยเห็นมาก่อนแต่ก็เป็นการเพิ่มคลังคำศัพท์ให้ตัวดิฉันเอง  คำคมที่ดิฉันอ่านนั้นมาจาก  Facebook  ชื่อว่า  Word  Porn
            คำคมแรก  คือ  We  want  to  live  in  a  relationship  that  will  not  impedes  our  wandering  ,  nor  prevent  our  search  ,  nor  lock  us  in  prison  walls  ;  that  will  take  us  for  what  little  we  have  to  give.  We  do  not  want  to  prove  ourselves  to  another  or  complete  for  love.  For  wanderers,  dreamers  and  lovers , for  lonely  men  and  women  who  dare  to  ask  of  life  everything  good  and  beautiful.  It  is  for  those  who  are  too  gentle  to  live  among  wolves.  James  Kavanaugh
            จากคำคมนี้  ดิฉันเข้าใจว่า  เราต้องอยู่ในความสัมพันธ์ซึ่งไม่มีการกีดขวาง  เป็นการเดินทางอย่างไร้จุดหมายของเรา  ไม่มีใครขัดขวาง  ไม่มีการค้นหา  ไม่ขังเราไว้ในกำแพงคุก  เราไม่ต้องการพิสูจน์ตัวเราเองเพื่อสิ่งที่แตกต่างหรือทั้งหมดสำหรับความรัก  สำหรับผู้ท่องเที่ยวไปโดยไร้จุดหมาย  คนช่างฝันและคนรัก  สำหรับชายและหญิงที่อ้างว้าง  ผู้ซึ่งกล้าเผชิญเพื่อถามสิ่งสวยงามและสิ่งดีๆ  สำหรับชีวิต  มันเป็นสิ่งเหล่านั้น  ผู้ซึ่งเป็นคนอ่อนโยน  อย่างมากในอาศัยท่ามกลางฝูงหมาป่า, James  Kavanaugh กล่าว
            คำคมที่สอง  คือ  People  always  say  that  when  you  love  someone,  nothing  in  the  world  matters .  but  that’s  not  true ,is  it  ?  You  know,  and  I  know  that  when  you  love  someone  ,  everything  in  the  world  matters  a  little  bit  more.  Jodi  Picoult
            จากคำคมนี้  ดิฉันเข้าใจว่า  คนเรามักจะพูดคำนั้น  เมื่อคุณรักใครสักคนไม่มีอะไรในโลกสำคัญ  แต่นั้นมันก็ไม่ถูกต้องหรือไม่  คุณรู้และฉันเองก็รู้  ซึ่งเมื่อคุณรักใครสักคนทุกสิ่งในโลกนี้ก็จะสำคัญน้อยลงไป  Jodi  Picoult
            คำคมที่สาม  คือ  Not  everything  is  supposed  to  become  something  beautiful  and  long-lasting.  Sometimes  people  come  into  your  life  to  show  you  what  is  right  and  what  is  wrong , to  show  you  who   who  you  can  be  to  teach  you  to  love  yourself , to  make  you  feel for  a  little  while ,   or  to  just  be  someone  to  walk  with  at  night  and  spill  your  life  to.  Not  everyone  is  going  to  stay  forever,  and  we  still  have  to  keep  on  going  and  thank  them  for  what  they’ve  given  us . Emery  Allen
            จากคำคมนี้  ดิฉันเข้าใจว่า  ไม่มีสิ่งไหนที่ถูกคาดเดาให้กลายเป็นบางสิ่งที่สวยงามและมั่นคงถาวรยาวนาน  บางครั้งคนคนหนึ่งจะเข้ามาในชีวิตคุณ  เพื่อพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าอะไรถูกและอะไรผิดเพื่อพิสูจน์คุณผู้ซึ่งสามารถเป็น  เพื่อสอนคุณให้รักตัวเอง  เพื่อทำให้คุณรู้สึกดีมากๆ  ในช่วงเวลาสั้นๆ  บางคนเดินเข้ามาในยามราตรีและทำลายชีวิตคุณ  ไม่มีใครที่จะอยู่กับเราไปตลอดกาล  และพวกเรายังคงจำเป็นต้องเดินทางต่อไป  และขอบคุณสิ่งเหล่านั้นที่พวกเขาได้ให้กับคุณ  Emery  Allen
            คำคมที่สี่  คือ  To  share  our  sadness  with  one  we  love  is  perhaps  as  great  a  joy  as  we  can  know-unless  it  be  to  share  our  laughter.  James  Kavanaugh  จากคำคมนี้  ดิฉันเข้าใจว่า  การแบ่งปันความเศร้าด้วยความรักของพวกเรา  อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเรารู้  อาจจะไม่ใช่แค่เพียงการแบ่งปันเสียงหัวเราะของพวกเราเพียงเท่านั้น  James  Kavanaugh 
            คำคมที่ห้า  คือ  Intimacy  is  not  who  you  let  touch  you.  Intimacy  is  giving  someone  your  attention  ,  when  ten  other  people  are  asking  for  it.  Intimacy  is  the  person  always  in  the  back  of  your  mind  ,  no  matter  how  distracted  you  are.
            จากคำคมนี้  ดิฉันเข้าใจว่า  ความใกล้ชิดไม่ใช่ใคร  ที่คุณจะสัมผัสแล้วปล่อย  ความใกล้ชิดเป็นการให้บางคนเอาอกเอาใจคุณ   เมื่อคนสิบคนกำลังถึงมัน  ความใกล้ชิดคือคนคนหนึ่งที่อยู่ในอดีตของหัวใจคุณ  มีอะไรที่คุณวิตกกังวล
            คำคมที่หก  คือ  I  was  born  with  an  enormous  need  for  affection,  and  a  terrible  need  to  give  it  .  Audrey Hephurn  หมายถึง  ฉันเกิดมาพร้อมกับความต้องการที่เยอะมาก  ต้องการความรัก
            คำคมที่เจ็ด  คือ  The  saddest  people  have  the  most  beautiful  smile.  Demi  Lovato  หมายความว่า  ในความเสียใจที่สุดของคนเรา ยังมีรอยยิ้มที่สวยงาม Demi  Lovato   กล่าว
            คำคมที่แปด  คือ  The  best  portion  of  your  life  will  be  the  small,  nameless  moment  you  spend  smiling  with  someone  who  matters  to  you  .  Ritu  Ghatourey
            คำคมที่แปด  หมายถึง  ส่วนหนึ่งในชีวิตที่ดีที่สุดของคุณจะเป็นสิ่งเล็กน้อยและคุณจะแบ่งปันรอยยิ้มให้กับคนคนหนึ่ง  ผู้ซึ่งมีความสำคัญกับคุณ  Ritu  Ghatourey
            คำคมที่เก้าคือ  But  just  because  you’re  strong  and  resilient  doesn’t  mean  you  never  need  someone  to  be  there  for  you , to  take  care  of  you. Tammara  Webber  หมายความว่า  แต่ทว่าเพียงแค่เพราะคุณแข็งแรงและหายป่วยแล้ว  ไม่ได้หมายถึงว่าคุณไม่ต้องการใครสักคนเพื่อจะอยู่ที่นั่น  เพื่อดูแลคุณ  Tammara  Webber  กล่าว
            คำคมที่สิบ  คือ  Ultimately  ,  the  universe  doesn’t  care  about  us  .  Time  doesn’t  care  about  us.  That’s  why  we  have  to  care  about  each  other .  David  Levithan  หมายความว่า  ในที่สุดทั้งหมดในโลกนี้ก็ไม่สนใจในตัวเรา  เวลาก็ไม่สนใจพวกเรา  เช่นนั้นแล้ว  ทำไมพวกเราไม่สนใจกันและกัน  David  Levithan
            คำคมสุดท้าย  คือ  “You  scare  me ,” ha  said  “why  ?”  She  asked  “Because  I  tell  you  things  I  Can’t  even  tell  myself.”  หมายความว่า  คุณกลัวฉัน”  เขาพูด  ทำไมหรอ”  หล่อนถาม  “  เพราะฉันบอกคุณหลายๆอย่าง  ฉันไม่สามารถคุยเกี่ยวกับตัวฉัน
            จากการอ่านคำคมใน  Facebook  ทำให้ดิฉันพบสำนวนภาษาอังกฤษแปลกๆใหม่ๆและพยายามที่จะค้นหาความหมายของสำนวนนั้นๆ  การอ่านคำคมนี้  ทำให้ดิฉันฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษในระดับหนึ่ง  และได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ  พร้อมกับบริบทของคำศัพท์ที่อยู่ในคำคม  นอกจากการอ่านแล้วดิฉันยังพยายามฝึกพูดคุยสนทนากับเพื่อนในห้องเป็นภาษาอังกฤษในแชทไลน์
            วันเสาร์ที่  26  กันยายน  พ.ศ.  2558  ดิฉันสนทนาเป็นภาษาอังกฤษกับนายภานุเดช  ขวัญเทพ  เพื่อนนักศึกษาในห้องเรียน  ทางแชทไลน์  ส่วนใหญ่เรื่องที่คุยกัน  จะเป็นการถามการบ้าน  ภาษาอังกฤษที่เราใช้การสนทนาอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด  แต่เราก็พยายามสื่อสารกันให้เข้าใจ  อาจจะมีการเปิด  dictionary  บ้างในระหว่างที่สนทนากัน  เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจในความหมายที่เราต้องการสื่อสารออกไป
            จากการสนทนาในแชทไลน์เป็นภาษาอังกฤษ  ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้คำศัพท์ไปในตัว  และคำศัพท์บางคำศัพท์ก็โผล่ขึ้นมาในเวลาที่เราต้องการใช้  ทำให้เราซึมซับคำศัพท์ใช่ช่วงเวลานั้นไปโดยอัตโนมัติดิฉันคิดว่าการฝึกตนเองให้ใช้ภาษาอังกฤษในทุกสถานการณ์  ทำให้เราเรียนรู้ได้ดีมากกว่าการท่องจำ  เพราะการท่องจำอาจทำให้เรารู้สึกกดดัน  และทำให้เกิดการเรียนรู้ไม่ดีเท่าที่ควร
            การเรียนรู้นอกห้องเรียนของดิฉันในสัปดาห์  เป็นการเรียนรู้ที่หลากหลาย  ฝึกทักษะภาษาอังกฤษในหลายๆด้าน  มีทั้งการฟังเพลง  การอ่าน  การสนทนา  แต่การเรียนรู้ในแต่ละอย่างไม่ได้มีความกดดันจนทำให้รู้สึกเครียดหรือกังวล  เพราะเราเอาภาษาอังกฤษมาไว้ในหัวใจ  เราเลยชอบที่จะเอาใจใส่ในการฝึกฝนเพื่อให้ภาษาอังกฤษของเรานั้น พัฒนาขึ้น  การฟังเพลงสากลก็ทำให้ฉันได้สำนวนมากมายจากเพลงและยังได้เปล่งเสียงร้องเพลงพร้อมถ่วงทำนองอีกด้วย  การอ่านคำคมทำให้ดิฉันได้ขอคิดมาบ้าง อาจจะมีแปลความหมายจากคำคมผิดบ้าง  แต่โดยรวมคือเข้าใจ  การสนทนากับเพื่อนในแชทเป็นภาษาอังกฤษ  เป็นการฝึกใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์ทำให้เรียนรู้  ทั้งนี้การพัฒนาทักษะต่างๆ  ทำให้การใช้ภาษาอังกฤษเราดีขึ้น  หากเราฝึกฝนบ่อยๆ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น