วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Learning log week 3 ( Outside Class )


การเรียนรู้นอกห้องเรียนคือการใช้สถานที่นอกห้องเรียน เป็นห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นการเรียนที่เกิดจากความอยากรู้ อยากเห็น ผู้เรียนจะมีการวางแผนด้วยตนเอง และควรเริ่มต้นจากผู้เรียนกำหนดจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยจัดเนื้อหาให้เหมาะสมกับสภาพความต้องการและความสนใจของผู้เรียน ทั้งนี้บุคคลที่เรียนรู้ด้วยตนเอง จะเรียนอย่างตั้งใจ มีจุดมุ่งหมายและมีแรงจูงใจสูง สามารถใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้ได้ดีกว่า และยาวนานกว่าบุคคลที่รอรับการสอนแต่อย่างเดียว เช่นเดียวกันกับการเรียนรู้ภาษาด้วยตนเอง จะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผล เพราะเราได้ขวนขวายและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และใน ปัจจุบันนี้ ภาษาอังกฤษ เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นการที่เราสามารถ สื่อสารภาษาอังกฤษได้ ย่อมทำให้ได้เปรียบคนอื่นๆ ทั้งนี้เราก็สามารถฝึกภาษาจากการเรียนรู้ด้วยตนเองได้หลากหลายวิธี เช่น ฟังเพลง ดูทีวีและภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ เล่นเกมที่ใช้คำภาษาอังกฤษบ่อยๆ ทำลิสต์ต่างๆให้เป็นภาษาอังกฤษ เราชอบอะไร ทำสิ่งนั้นเป็นภาษาอังกฤษ ตามอ่านอะไรที่เราสนใจ
การฝึกฟังเพลงภาษาอังกฤษก็เป็นกิจกรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียนอย่างหนึ่งของดิฉัน ทั้งนี้การฝึกด้วยเพลงคือหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากเป็นอันดับต้นๆ เพราะนอกจากจะได้ฝึกฟังสำนวนภาษาและเรียนรู้วิธีออกเสียงแล้ว เพลงยังทำให้รู้สึกเพลิดเพลินและโฟกัสกับการเรียนรู้ได้นานขึ้นด้วย และดิฉันได้ค้นพบเคล็ดลับ 7 ข้อในการฝึกภาษาอังกฤษผ่านเพลง ข้อหนึ่ง รู้จักแหล่งหาเพลงดีๆ ต้องรู้จักเว็บแชร์วิดีโอชื่อดังอย่าง YouTube and Vimeo แค่สองเว็บนี้ก็มีเพลงดีๆ ให้เลือกฟังอย่างไม่หวาดไม่ไหว แนะนำว่าสำหรับคนที่ยังฟังไม่คล่องนัก ลองค้นหาชื่อเพลงโดยใส่คีย์เวิร์ดอย่าง subtitle หรือ lyrics ต่อท้าย การมีเนื้อเพลงให้ร้องตามไปทีละท่อนจะช่วยให้การหัดฟังเพลงภาษาอังกฤษง่ายขึ้น หากอยากฟังเพลงแบบสนุกขึ้น ขอแนะนำให้รู้จักกับ Spotify โปรแกรมฟังเพลงออนไลน์กึ่งโซเชียลเน็ตเวิร์ค ที่เราสามารถเข้าไปส่อง Playlist ที่เพื่อนๆ ฟังได้ เผื่อจะมีเพลงอะไรน่าสนใจ แถมยังมีฟังก์ชั่นแรนดอมเพลงใหม่ๆ มาให้เราลองฟัง โดยการใส่เพลงที่ชอบลงไป แล้วโปรแกรมก็จะเลือกเพลงแนวเดียวกับเพลงนั้นมาให้ อีกเว็บหนึ่งที่คือ Fluent U เว็บที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการเรียนภาษาผ่านวิดีโอหรือเพลงโดยเฉพาะ
ข้อสอง เลือกเพลงให้เหมาะสม เลือกเพลงที่ชอบ จะทำให้เราจดจ่ออยู่กับการฝึกได้นานขึ้น
เลือกเพลงที่ภาษาไม่ง่ายหรือยากจนเกินไป เนื้อเพลงเป็นคำทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ระวังการออกเสียงที่ไม่ชัดเจนของนักร้องด้วย อย่างพวกเพลงร็อคเมทัล อาจจะไม่ค่อยเหมาะในการนำมาใช้ฝึกภาษาสักเท่าไหร่ ควรเลือกเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวพอให้นึกภาพตามได้ หากเริ่มฝึกแบบมีพื้นฐานน้อยมาก อาจลองเริ่มจากเพลงสำหรับเด็กหรือเพลงการ์ตูนดิสนีย์ก่อน ควรเริ่มฝึกจากเพลงป็อป เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเพลงเกี่ยวกับความรัก ความโรแมนติก ใช้คำศัพท์ง่ายๆ ซ้ำๆ จากนั้นเมื่อชำนาญมากขึ้น จึงค่อยแตกสาขาไปฝึกจากเพลงประเภทอื่นๆที่กว้างขึ้น ข้อสาม ฝึกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน การอ่านเนื้อเพลงตามไปด้วย จะทำให้เข้าใจความหมายของเพลงและจดจำศัพท์ได้ดียิ่งขึ้น แต่การฟังครั้งแรกๆ ควรลองฟังแบบไม่ดูเนื้อเพลงก่อน แล้วพยายามเขียนคำศัพท์หรือประโยคเท่าที่พอจับใจความได้ออกมาให้ได้มากที่สุด จากนั้นจึงค่อยฟังซ้ำโดยเปิดเนื้อเพลงตามไปด้วย
                ข้อสี่ ร้องตามอย่างเต็มเสียง ขั้นตอนนี้ถ้าไม่มั่นในเสียงตัวเอง แนะนำให้ฝึกร้องเวลาอยู่ในห้องคนเดียวจะดีที่สุด จะได้ไม่รบกวนคนรอบข้างด้วยค่ะ เวลาร้องตามขอให้ร้องอย่างเต็มเสียง และขยับปากอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฝึกกล้ามเนื้อริมฝีปาก เพราะภาษาอังกฤษมีการใช้กล้ามเนื้อริมฝีปากมากกว่าภาษาไทย ฝึกบ่อยๆ จะทำให้สำเนียงเราใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากขึ้น ข้อห้า พยายามร้องเพลงจากความจำ ขั้นนี้เหมาะสำหรับคนที่ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองมาได้สักระยะจนชำนาญประมาณหนึ่ง เริ่มจดจำเนื้อร้องของบางเพลงได้บ้างแล้ว ว่างๆ ก็ลองหัดฮัมเพลงเป็นภาษาอังกฤษแบบไม่ดูเนื้อร้อง จะช่วยให้เราคุ้นชินกับการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันมากขึ้น ข้อหก ฟังเพลงสลับไปสลับมา จากขั้นตอนที่แนะนำมาทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องเลือกเพลงมาหนึ่งเพลงแล้วโฟกัสในการฝึกเพลงนั้นซ้ำๆ อยู่แค่เพลงเดียว ในรอบแรกอาจจะฟังแบบผ่านๆ แล้วดูเนื้อตามไปหลายๆ เพลงก่อน จากนั้นจึงค่อยกลับมาฟังเพลงแรกแล้วทบทวนคำศัพท์ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด
                ข้อสุดท้าย ค้นหาเพลงใหม่ที่ระดับยากขึ้น เพื่อการฝึกฝนที่มีประสิทธิภาพ ควรท้าทายตัวเองด้วยการเลือกเพลงที่ระดับยากขึ้น ซึ่งจะทำให้สำนวนและคลังคำศัพท์ใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย ถ้าไม่รู้ว่าจะเลือกเพลงตามลำดับความยากง่ายยังไงดี Fluent U สามารถช่วยได้ค่ะ การฝึกภาษาอังกฤษให้ได้ผลดี ไม่จำเป็นต้องตะบี้ตะบันฝึกวันละหลายๆ ชั่วโมงก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือความต่อเนื่องและความสม่ำเสมอ อาจจะฝึกแค่วันละ 1-2 ชั่วโมง แต่ต้องอย่าละทิ้งเป้าหมายกลางคัน หากไม่ท้อถอยเสียก่อน ไม่นานเกินรอต้องประสบความสำเร็จ จากเคล็ดลับทั้ง 7 ข้อนี้ สามารถนำมาปรับใช้การเรียนภาษาด้วยตนเองได้อย่างดี แต่ก็ควรหม่ำฝึกปฏิบัติอยู่บ่อยๆจนเป็นปกตินิสัย จึงจะทำให้การเรียนรู้ภาษาด้วยตนเองเกิดประสิทธิผล สามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวันอย่างดีมีประสิทธิภาพ และเป้าหมายสำคัญนอกเหนือจากนั้นคือการรู้จักและเข้าใจสำนวนภาษาอังกฤษ และการใช้ภาษาอังกฤษสนทนากับชาวต่างชาติได้อย่างคล่องแคล่วไม่เขินอายและถูกต้อง
                จากเคล็ดลับทั้ง 7 ข้อที่เกี่ยวกับการฝึกภาษาอังกฤษผ่านเพลง ทำให้ดิฉันเกิดแรงบันดาลใจที่จะใช้เพลงในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเอง เพลงที่ดิฉันฟังมีหลากหลายเพลง หลากหลายแนว แต่เพลงที่ชอบและฟังแล้วสามารถร้องตามได้บ้าง ก็มี A Thousand Years , Sugar , See you again , Let her go , Love me like you do , We can’t stop etc. เพลง A Thousand Years เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Breaking Dawn  เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของมนุษย์กับแวมไพร์ จากที่ดิฉันฟังเพลง เพลงมีเนื้อหาเกี่ยวกับการรอคอยความรัก และเมื่อพบเจอกับความรักแล้วก็จะรักกันตั้งนี้วันนี้ไป เป็นพันๆปีก็ยังจะรักไม่เปลี่ยนแปลงไป
และดิฉันก็พบปัญหาว่าบางกลุ่มคำของเพลง ดิฉันยังไม่สามารถตีความหมายของกลุ่มคำได้ เช่น One step closer เพลง Sugar เป็นเพลงเกี่ยวกับความรักซึ่งฝ่ายชายต้องการความรักจากคนรัก โดยเปรียบเทียบเข้ากับความหวานของน้ำตาล การฟังเพลงนี้ทำให้มองเห็นภาพความรักที่ต้องการความหวานเหมือนน้ำตาล และสิ่งหนึ่งก็คือทำให้ดิฉันมองเห็นถึงประโยคในภาษาอังกฤษมากขึ้นและเรียนรู้คำศัพท์ในเพลงได้เยอะเลยทีเดียว
                เพลง See you again เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Furious 7 มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสูญเสียเพื่อนร่วมเดินทาง เป็นการแสดงให้เห็นถึงความคิดถึง ที่เคยร่วมทางกัน เคยซิ่งรถด้วยกัน แต่ทุกอย่างมันไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว เพราะนายได้จากไปแล้ว จากเพลงนี้ทำให้ดิฉันได้ข้อคิดเกี่ยวกับการทุ่มเทเพื่อลงมือทำอะไรสักอย่าง จากประโยคในเนื้อเพลงที่ว่า Those were the days hard work forever pays. (มันคือช่วงเวลาที่การทุ่มเทอย่างหนัก จะให้ผลตอบแทนไปตลอดกาล) เพลง Let her go เป็นเพลงเกี่ยวกับความรัก คือรู้ว่ารักเมื่อสายไปแล้ว ในเนื้อเพลงส่วนใหญ่มีการใช้คำว่า Only นำหน้าประโยค เช่น Only hate the road when you’re missing home , Only miss the sun when it starts to snow , Only know you love her when you let her go เพลง Love me like you do จากการสังเกตพบว่า Only ตามด้วย relative clause เพลง We can’t stop เป็นเพลงเกี่ยวกับอิสระของชีวิต ที่จะทำอะไรก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำตามใจต้องการ และไม่สามารถหยุดมันได้แล้ว ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกว่าชีวิตของเรามีก็ใช้ให้คุ้มค่า ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ลองทำในสิ่งที่ท้าทาย

                จากการค้นพบเคล็ดลับ 7 ข้อในการฝึกภาษาอังกฤษผ่านเพลง ทำให้ดิฉันเกิดแรงบันดาลใจในการฟังเพลงสากลมากขึ้น และอยากร้องเพลงสากลให้ได้อย่างน้อยสี่ถึงห้าเพลง ทำให้ดิฉันเริ่มฝึกฟังเพลงสากลมากกว่าเพลงสตริงของไทย แต่การฟังเพลงของดิฉันนั้นก็ไม่ได้เคร่งเครียดจนเกินไป เพราะดิฉันเลือกฟังเพลงจากง่ายๆ ก่อน ฟังเพลงที่ชอบก่อน แล้วค่อยพัฒนาไปยังเพลงที่มีคำศัพท์หรือเนื้อหายากๆ ฉะนั้นการฟังเพลงและฝึกร้องเพลงสากลที่ชอบ ทำให้ดิฉันได้ใช้เวลาอย่างมีประโยชน์และมีความสุขอีกด้วย เพราะการร้องเพลงเป็นกิจกรรมที่สร้างความบันเทิงใจให้คนเรา แถมยังได้คำศัพท์เพิ่มเติมมาหลายคำ และจากการเปล่งเสียงร้องเพลงซ้ำๆหลายๆครั้ง ทำให้สำเนียงการออกเสียงภาษาอังกฤษของดิฉันมีการเน้นหนักคำ จึงทำให้การออกเสียงมีอรรถรสมากขึ้น และดูน่าฟัง และรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อพูดภาษาอังกฤษ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น