วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning log week 7 ( Inside Class )

              
               ภาษาอังกฤษในปัจจุบันมีบทบาทสำคัญมากในการสื่อสาร  ซึ่งการสื่อสารภาษาอังกฤษนั้นเราจะสื่อสารกันเป็นประโยค  ซึ่งในประโยคนั้นจะประกอบไปด้วยภาคประธานและภาคแสดง  แต่ก่อนที่จะมาเป็นประโยคได้สักหนึ่งประโยคนั้นเราต้องรู้จำคำ  วลี  และอนุประโยค  เพราะส่วนเหล่านี้เป็นที่มาของการสร้างประโยค  และเมื่อเกิดเป็นประโยคแล้วเราก็สามารถนำไปใช้ในการสื่อสารให้ชาวต่างชาติเข้าใจได้  ซึ่งประโยคจะแบ่งออกเป็น  4  ประเภท  คือ  Simple  sentence  คือ  ประโยคที่มีโครงสร้างอย่างง่าย,  Compound  sentence  คือ  ประโยคที่มีตั้งแต่สอง  independent  clause  ขึ้นไป,  complex  sentence  คือ  ประโยคที่มีเพียงหนึ่ง  independent  clause  เท่านั้น  แต่จะมี  dependent  clause  หนึ่ง  clause  หรือมากกว่าหนึ่งมาเป็นส่วนขยาย  และชนิดที่  4  คือ  Compound-complex  sentence  คือ  ประโยคที่มีตั้งแต่สอง  indenpent  clauses  ขึ้นไป  และมี  dependent  clause  ตั้งแต่หนึ่ง  clause  ขึ้นไป  ซึ่งการเรียนรู้ในห้องเรียนในสัปดาห์จะเป็นเรื่องของ  If-clause  ซึ่ง  If-clause  มาจากประโยคชนิด  complex  sentence
            ก่อนจะพูดถึง  If-Sentence  หรือประโยคเงื่อนไข  ควรทำความรู้จักกับ  Mood  ซึ่งหมายถึงลักษณะการพูดไปตามอารมณ์ของผู้พูดโดยในทางไวยากรณ์ภาษาอังกฤษสามารถแบ่ง  Mood  ได้เป็น  3  รูปแบบ  คือ  1.Indicative  Mood  ( การพูดเกี่ยวกับความจริง )  ได้แก่  คำพูดที่เกี่ยวกับการบอกและการถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง  2.Imperative  Mood  ( การพูดแสดงการออกคำสั่ง )  เป็นคำพูดที่เกี่ยวกับการออกคำสั่งหรือคำขอร้องต่าง ๆ  3.Subjunctive  Mood  ( การพูดเกี่ยวกับความไม่จริง )  การพูดเกี่ยวกับความไม่จริงมีอยู่  2  รูปแบบ  คือ  การพูดที่ผู้พูดรู้แล้วว่าตรงข้ามกับความเป็นจริง  และการที่ผู้พูดอยากจะให้ความจริง  ซึ่ง  Mood  เหล่านี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับประโยคเงื่อนไข  ( If-Sentence )  ซึ่งเป็นประโยคที่ผู้พูดสมบัติหรือคาดเดาว่า  ถ้ามีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นก็จะมีผลอีกอย่างหนึ่งตามมา  ประโยคเงื่อนไขว่า  “ประโยค  If-clause”  ซึ่งประโยคเงื่อนไขเกิดจาก  2  ส่วนมารวมกัน  คือ  ส่วนที่เป็นเหตุ  ( If-clause )  และส่วนที่เป็นผล  ( Principle  Clause )  ตามปกติจะวาง  If  ไว้ต้นประโยค  จึงทำให้ต้องมีเครื่องหมาย  comma  ( , )  คั่นไว้  แต่ถ้าวาง  If  ไว้กลางประโยคไม่ต้องมี  comma ( , )  คั่น  แบ่งออกได้เป็น  4  เงื่อนไข  คือ  Real  Condition,  Impossible  Condition,  Possible  Condition  และ  Unreal  Condition  (  ไพบูลย์  เปียศิริ  :  335 )
            If-Clause  เงื่อนไขที่  1  เป็นเงื่อนไขที่ใช้ในการสมมติหรืออธิบายเงื่อนไขที่เป็นไปได้หรือเป็นจริง  โดยมีโครงสร้างดังนี้  If  +  Present  Simple,  Subject  +  will  +  V1  หรือ  Subject  +  will  +  V,  +  if  +  Present  Simple.  ถ้าวาง  if-clause  ไว้หน้าประโยค  main  clause  จะใส่  comma  ( , )  คั่นแต่ถ้าวาง  if-clause  ไว้หลัง  main  clause  จะไม่มี  comma  มาคั่นระหว่างประโยค  เช่น  If  she  tries  hard,  she  will  succeed( ถ้าเธอพยายามอย่างหนัก  เธอก็จะประสบความสำเร็จ )  If  it  rains,  I  will  stay  at  home.          ( ถ้าฝนตกฉันจะพักอยู่ที่บ้าน )  You  may  come  if  you  like  ( คุณจะมาก็ได้ถ้าอยากจะมา )
You  won’t  pass unless  you  work  hard.  ( คุณจะสอบไม่ผ่านถ้าไม่เรียนอย่างหนัก )  If  we  don’t  pay  our  workers  well,  it  will  be  difficult  to  attract  good  workers.  ( ถ้าพวกเราไม่จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างสูง  มันคงยากที่จะดึงดูดลูกจ้างที่มีฝีมือ )  If  she  studies  diligently,  she  will  pass  the  exam.  ( ถ้าหล่อนเรียนอย่างขยันขันแข็ง  หล่อนจะสอบผ่าน )  You  will  be  punished  if  you  don’t  come  to  school.  ( คุณจะถูกลงโทษถ้าไม่มาโรงเรียน )  We   will  increase  our  work  if  we  don’t  do  it  today.  ( พวกเราจะเพิ่มงานมากขึ้นถ้าไม่ทำในวันนี้ )
            If-clause  เงื่อนไขที่  2  ใช้สมมติในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงหรือแม้จะเป็นจริงได้ก็ห่างไกลหรือใช้เวลานาน  โดยมีโครงสร้างดังนี้  If  +  past  simple,  subject  +  would  +V1  หรือ  Subject  +  would  +  V+  if  +  past  simple  เช่น  If  I  had  a  lot  of  money,  I  would  help  the  poor.  (  ถ้าผมมีเงินจำนวนมากผมจะช่วยเหลือคนจน )  ในความเป็นจริงตอนนี้เขาไม่ได้มีเงินมาก  จึงเป็นสิ่งที่ตรงข้ามเป็นจริงในปัจจุบัน  If  I  were  a  millionaire,  I  would  buy  a  Ferrari  car. ( ถ้าฉันเป็นมหาเศรษฐีฉันจะซื้อรถเฟอร์รารี่สักคัน )  ในความเป็นจริงตอนนี้เขาไม่ได้เป็นมหาเศรษฐี  ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความจริงในปัจจุบัน  If  I  were  you,  I  would  travel  around  the  world.  ( ถ้าผมเป็นคุณผมตะท่องเที่ยวไปรอบโลกเลย )  ในความจริงเขาเป็นตัวเขา  ไม่สามารถเป็นคนอื่นได้  ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ตรงข้ามความเป็นจริงในปัจจุบัน  หมายเหตุ  ในเงื่อนไขที่  2  จะใช้  past  continuous  tense  ( If  +  Subject  +  was / were  +  Ving X  หรือ  would  แทน  past  simple  ก็ได้  เช่น  if  the  sun  was  shihing,  everything  would  be  perfect( ถ้าพระอาทิตย์ส่องแสงทุกอย่างก็จะสมบูรณ์ )  If  I  could  help  you,  I  would,  but  I’m  afraid  I  can’t.  ( ถ้าผมสามารถช่วยคุณได้  ผมก็จะช่วยแต่เกรงว่าผมจะทำไม่ได้ ) 
            If-clause  เงื่อนไขที่  3  ใช้กับการสมมติเป็นไปไม่ได้หรือตรงข้ามกับความเป็นจริง  โดยมีโครงสร้างดังนี้  If  +  Past  Perfect,  Subject  +  would  have  …  หรือ  Subject  +  would  have  …  +  if  +  Past  Perfect  เช่น  If  susan  had  known   Paul  first,  she  would  not  have  fallen  in  love  with  Ken.  ( ถ้าซูซานได้รู้จักพอลก่อน  หล่อนจะไม่ตกหลุมรักเคน )  ในความจริงซูซานไม่ได้รู้จักพอลก่อนในอดีต  จึงเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงในอดีต  If  I  had  had  a  lot  of  cash  in  1998,  I  would  have  bought  many  cheap  houses.  ( ถ้าฉันมีเงินสดมากในปี  1998  ฉันจะซื้อบ้านราคาถูกหลายหลังทีเดียว )  ในความเป็นจริงเขาไม่ได้มีเงินสดมากในปี  1998  จึงเป็นสิ่งตรงข้ามกับความจริงในอดีต  If  you  had  taken   a  taxi,  you  would  have  got  there  in  time.  ( ถ้าคุณไปโดยแท็กซี่คุณจะไปถึงที่นั่นทันเวลา )  ในความจริงเขาไม่ได้ไปโดยแท็กซี่  จึงเป็นสิ่งตรงข้ามกับความเป็นจริงในอดีต  If  we  had  paid  our  workers  better,  they  wouldn’t  have  left  the  company.  ( ถ้าพวกเราจ่ายค่าจ้างให้คนงานดีกว่านี้  พวกเขาจะไม่ไปจากบริษัท )  If  I  had  been  hungry,  I  would  have  eaten  something.  (  ถ้าผมหิว  ผมจะทานอะไรสักอย่าง )
            If-clause  เงื่อนไขที่  4  เป็น  clause  ที่แสดงการสมมติที่เป็นสากล  ( universal )  ซึ่งหมายถึงว่าเมื่อสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น  สิ่งที่เกิดตามก็จะคล้าย ๆ กัน  และใช้โครงสร้างเป็น  tense  เดียวกันดังนี้  If  present  simple,  Present  Simple  หรือ  Subject  +  V1  +  if  +  Subject  +  V1  เช่น  If  you  beat  iron,  it   expands.  ( ถ้าคุณตีเหล็ก  มันก็จะขยายตัว )  If  the  doorbell  rings,  the  dog  barks( ถ้ากระดิ่งที่ประตุดังขึ้นหมาตัวนี้ก็จะเห่า )  If  the  company  pays  well,  it  attracts  good  workers.  ( ถ้าบริษัทจ่ายค่าจ้างอย่างงาม  มันจะดึงดูดลูกจ้างที่มีฝีมือได้ )  *บริษัทไหนจ่ายอย่างนี้ผลที่เกิดก็จะคล้าย ๆ กัน  If  temperature  reaches  100 °C,  water  starts  to  boil.  ( ถ้าอุณหภูมิสูงถึง  100  องศาเซลเซียส  น้ำจะเริ่มต้นเดือด  หมายเหตุ  **  1.ถ้าเงื่อนไขที่ไม่เป็นจริงมาหลัง  main  clause  ห้ามใช้  unless  แต่ให้ใช้  if  เช่น  The  horse  fell.  If  it  hadn’t  fallen,  it  would  have  won  the  race.  ( ม้าล้มถ้ามันไม่หกล้มไปก่อน  มันจะชนะการแข่งขัน )  การแข่งขันจบแล้ว  ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ม้าตัวหกล้มจะชนะ
2.ไม่ใช่  unless  กับการพูดถึงความรู้สึก  ซึ่งเป็นผลมาจากบางอย่างที่ไม่ได้เกิดขึ้น  เช่น  shall  be  very  surprised  if  it  doesn’t  rain( ผมจะแปลกใจเป็นอย่างมากถ้าฝนไม่ตก )  3.As  long  as,  provided ( that ),  on  the  condition  ( that )  ใช้เหมือน  if  ที่เป็นประโยคเงื่อนไข  โดยใช้ในการสร้างเงื่อนไขที่  1  และ  2  เช่น  don’t  mind  you  using  my  bike  provided  ( that you  take  care  of  it.  ( ผมไม่ว่าอะไรหรอกหากคุณจะใช้จักรยานของผม  ถ้าคุณดูแลมันสักหน่อย )  4.Should,  Were  …  to  และ  Had  ใช้สร้างประโยคเงื่อนไขแทน  if  โดยที่  Should  ใช้วางไว้หน้า  clause  สร้างเงื่อนไขที่  1,  Were  …  to  ใช้วางไว้หน้า  clause  สร้างเงื่อนไขที่  2  และ  Had  ใช้วางหน้า  clause  สร้างเงื่อนไขที่  3  เช่น  Should  the  supplier  fail  to  driver  on  time,  a  penalty  clause  would  be  applied( ถ้าลูกค้าไม่จ่ายทันเวลา  การลงโทษก็จะถูกนำมาใช้บังคับ )  Were  the  supplier  to  deliver  late,  the  penalty  clause  would  be  applied( ถ้าลูกค่าไม่จ่ายทันเวลา  บทลงโทษก็จะถูกนำมาใช้ )  Had  the  customer  refused  to  accept  the  goods,  we  would  have  terminated  the  contract. ( ถ้าลูกค้าปฏิเสธที่จะรับสินค้า  พวกเราจะให้สัญญาสิ้นสุด )
5.In  case,  in  ( the case  of,  in  the  event   that  เป็นเงื่อนไขที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคต  และใช้ในเงื่อนไขที่  1  ส่วน  in  ( the case  of  และ  in  the  event  of  ใช้กับ  noun  phrase  เช่น  Customers  are  reminded  to  keep  proof  of  purchase  in  case  they  wish  to  make  a  complaint. ( ลูกค้าถูกเตือนให้ตรวจสอบการซื้อ  ในกรณีที่พวกเขาอยากทำการฟ้องร้อง )  In  the  event  of  loss,  you  must  get  a  certificate  from  the  police. ( ในกรณีที่ของสูญหาย  คุณต้องเอาใบรับรองจากตำรวจมาแสดง  5.ใช้  were  กับประธานทุกตัวสำหรับเงื่อนไขที่ไม่เป็นจริง   เช่น  If  I  were  you,  I  would  marry  her.  ( ถ้าผมเป็นคุณ  ผมจะแต่งงานกับหล่อน )  ผมเป็นคุณไม่ได้  เพราะคนละคนกัน
            จากการทำแบบฝึกหัดในห้องเรียนจำนวน  10  ข้อ  เรื่อง  If-clause  ข้อ  1)  If  I  were  you,  I  would  go  to  work  upcountry.  (  ถ้าฉันเป็นคุณ  ฉันจะไปทำงานที่ชนบท )  เป็น  if-clause  แบบที่  2  คือ  Present  unreal  ข้อ  2)  If  I  had  enough  money,  I  would  marry  my  girlfriend,  But  right  now,  I  am  very  poor.  ( ถ้าฉันมีเงินพอ  ฉันจะแต่งงานกับแฟนของฉัน  แต่ตอนนี้ฉันจนมาก )  เป็น  If-clause  แบบที่  2  Present  unreal  ข้อนี้มีข้อสังเกตชัดเจน  คือ  But  right  now,  I  am  very  poor.  เป็นการบอกให้รู้  ณ  ตอนนี้ฉันจนมาก  ฉะนั้นสิ่งที่เขาคิดเป็นปัจจุบัน  แต่กำลังมโนภาพไปเอง  ข้อที่  3)  If  it  rains,  I  will  not  go  shopping.  ( ถ้าฝนตก  ฉันจะไม่ไปซื้อของ )  เป็น  If-clause  แบบที่  1  Present  real  ข้อ  4)  If  he  had  had  20,000  Bath  last   year,  he  would  have  been  graduafed  form  the  medical  school  by  now  or  he  would  have  finished.  ( ถ้าเขามีเงิน  200,000  บาท  เมื่อปีที่แล้ว  เขาคงจะได้รับปริญญาจากวิทยาลัยการแพทย์ในตอนนี้  หรือเขาอาจจงไปแล้ว )  เป็น  If-clause  แบบที่  3  Past  unreal
            แบบฝึกหัด  if-clause  ข้อที่  5)  If  you  are  the  last  person  to  leave  the  room,  please  turn  off  the  elecfric  fan.  ( ถ้าคุณเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากห้อง  กรุณาปิดพัดลมด้วย )  เป็น  If-clause  แบบที่  1  Present  real  เป็นการสมมติที่เป็นไปได้  และเป็นจริง  ข้อ  6)  If  you  want  to  make  merit,  I  recommend  that  you  conate  the  money  to  the  Saijaithai  Foundation.  (  ถ้าคุณต้องการทำบุญ  ฉันขอแนะนำให้บริจาคเงินกับมูลนิธิสายใจไทย )  เป็น  If-clause  แบบที่  1  Present  real  ข้อ  7)  If  my  sister  gets  all  A’  in  her  examination,  I  will  give  her  a  gold  bracelet.  ( ถ้าน้องสาวของฉันได้เกรด  A  ทุกวิชาในการสอบครั้งนี้  ฉันจะให้กำไลทองแก่หล่อน )  เป็น  If-clause  แบบที่  1  Present  real  ข้อ  8)  If  you  have  toothache  often,  you  should  go  to  see  a  dentist.  ( ถ้าคุณมีอาการปวดฟันบ่อย ๆ คุณควรจะไปให้หมอฟันตรวจ )  เป็น  If-clause  แบบที่  1  Present  real  ข้อ  9)  If  I  had  a  beautiful  Daughter,  I  would  not  allow  her  to  enter  the  beauty  contest. ( ถ้าฉันมีลูกสาวสวย ฉันจะไม่อนุญาตให้ไปประกวดเวทีคนสวย )  เป็น  If-clause  แบบที่  2  Present  unreal  เป็นคำพูดในปัจจุบัน  ซึ่งไม่เป็นความจริงเพราะเขาไม่ได้มีลูกสาวสวย  ข้อ  10)  If  he  had  not  had  a  canner,  he  would  not  have  committed  suicide  last  month.  ( ถ้าเขาไม่เป็นมะเร็ง  เขาคงไม่ฆ่าตัวตายเมื่อเดือนที่แล้ว )  เป็น  If-clause  แบบที่  2  Present  unreal
            การทำแบบฝึกหัดเรื่อง  If-clause  ทำให้เข้าใจเรื่อง  If-clause  มากขึ้น  แต่พบปัญหาในเรื่องคำศัพท์ในประโยค  If-clause  เพราไม่ทราบความหมายของคำศัพท์บางคำ  จึงทำให้ไม่สามารถแปลประโยคได้  และต้องไปฝึกฝนเรื่องคำศัพท์เพิ่มเติม  ซึ่งในระดับมหาวิทยาลัยควรมีคลังคำศัพท์ขั้นต่ำ  5,000  คำ  จึงจะสามารเรียนภาอังกฤษได้ดี  คำศัพท์จะแบ่งออกเป็น  2  แบบ  คือ  คำศัพท์  active  คือ  คำศัพท์ที่ใช้บ่อย ๆ และคำศัพท์  passive  คือ  คำศัพท์เฉพาะใช้ไม่บ่อย  เช่น  ศัพท์แพทย์  ศัพท์นักกฎหมาย  อาจารย์อนิรุธ  ชุมสวัสดิ์  จึงแนะนำเว็บไซต์เกี่ยวกับการทดสอบคลังคำศัพท์ว่าเรามีความรู้เรื่องคำศัพท์มากน้อยแค่ไหน  นั่นคือ www.vocabularysize.com   ซึ่งมี  Paul  Nation  เป็นคนคิดเว็บไซต์ขึ้นมา  ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าคำศัพท์ภาษอังกฤษมีอิทธิพลมากในการสื่อสาร  ไม่ว่าจะเป็นการพูดเสนอ  การเขียนบทความ  การอ่านบทความ  การฟังต่าง ๆ  เพราะคำศัพท์เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราสื่อสารกับชาวต่างชาติได้เข้าใจ  และ  Phonetic  ก็เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่เป็นการเน้นเสียงคำศัพท์ว่าจะเป็นการเน้นหนักหรือเบาในพยางค์ไหน  เพราะหากเราออกเสียงผิดก็จะทำให้ความหมายของคำศัพท์เปลี่ยนแปลงไปเลย  แต่ไวยากรณ์ไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไรนักสำหรับการพูดภาษาอังกฤษ  แต่ถ้าเป็นการเขียนไวยากรณ์  เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้งานเขียนถูกต้องสมบูรณ์  ดังนั้นเราควรมีคลังคำศัพท์ให้เยอะ  เพื่อจะได้สนทนากับชาวต่างชาติได้  แต่ถ้าให้ดีควรมีความรู้เรื่องไวยากรณ์ควบคู่ไปด้วย
            การเรียนรู้ในห้องเรียนในสัปดาห์นี้  เรื่อง  If-clause  ทำให้เข้าใจมากขึ้น  และสามารถแยกออกได้ว่า   If-clause  แบบไหนเป็น  present  real,  Present  unreal,  Past  unreal  ซึ่งสิ่งที่เรียนรู้ในห้องเรียนเหล่านี้มีความจำเป็นสำหรับการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยเป็นอย่างมาก  เพราะการแปลจะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารอย่างหนึ่ง  ซึ่งทำโดยการถ่ายทอดความหมายจากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่ง  ทั้งนี้การแปลนั้นเราต้องมีความรู้เรื่องคำศัพท์  ไวยากรณ์  และการเรียงลำดับคำให้ออกมาสละสลวย  และเข้าใจได้ง่าย




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น