การเรียนภาษาที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่ง คือ การเรียนโดยผ่านเพลง ข้อดีของการเรียนภาษาทางเพลงนั้นค่อนข้างจะได้ผลในเรื่องของสำเนียง เพราะการร้องเพลงนั้น นักร้องจะใช้พลังเสียงในหารร้องอย่างเต็มที่ และเสียงที่ออกมาจะมีพลัง พวกเราฝึกร้องเพลงตามนักร้องที่เราชื่นชอบ เราจะรับรู้ได้ถึงท่วงทำนองการร้องเพลง ได้มีโอกาสเลียนแบบสำเนียงจากเจ้าของภาษาจริงๆ และการร้องเพลงถือได้ว่าเป็นการผ่อนคลายความเครียดจากกการเรียนได้ดีอีกวิธีหนึ่ง นอกจากนั้น แล้วก็ยังสามารถนำไปฟังได้ทุกที่ อีกทั้งยังพัฒนาทักษะการฟังของเราอีกด้วย
วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558 ดิฉันฟังเพลง As Long
As You Love
Me ของศิลปิน Justin Bieber
ความหมายของเพลงนี้คือ
ตราบเท่าที่เธอยังคงรักฉันอยู่ Although loneliness
has always been a
friend of mine แม้ว่าจะมีความเหงาเป็นเพื่อนอยู่เสมอ สำนวน a friend
of mine คือ เป็นเพื่อนคนหนึ่งของฉัน
โครงสร้าง … of + คำแสดงความเป็นเจ้าของพวก mine , his , her , theirs ส่วนกริยา has always been
หมายถึง เป็นเช่นนั้นเสมอ เป็นมานานแล้ว เช่น He
has always been my
good friend.
(เขาเป็นเพื่อนที่ดีของฉันเสมอมา)
I’m leaving
my life in
your hands. แต่ฉันก็จะขอฝากชีวิตไว้กับเธอสำนวน to
leave one’s life in
one’s hands หมายถึง ฝากชีวิตไว้ในมือของคนใดคนหนึ่ง People
say I’m crazy
and I am blind
หลายคนบอกว่า
ฉันบ้า ฉันตาบอด คำว่า crazy นั้นหมายถึง บ้าหรือคลั่งไคล้ ส่วนคำว่า blind ก็คือ ตาบอด หากใช้ในเรื่องของความรัก ก็จะเป็นการเปรียบเทียบว่า รักนั้นทำให้ตาบอด สุภาษิตที่ใช้กันคือ Love
is blind หมายถึง ความรักทำให้คนตาบอด
Risking It
all in a
glance การนำทุกอย่างมาเสี่ยงในชั่วแป๊บเดียว คำว่า glance หมายถึง
ในช่วงเห็นแว้บเดียว สำนวนที่ใช้กันก็คือ to
take a glance
at + สิ่งใดหรือคนใด หมายถึง
มองไปที่สิ่งนั้นหรือคนนั้นแว้บหนึ่ง
คำว่า to risk นั้นก็คือ เสี่ยงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น Don’t risk your
life. อย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงนะ คำว่า it ก็คือ
ความรักที่ให้ไปนั่นเอง
สามารถนำไปใช้ในลักษณะอื่นได้
เช่น Don’t risk
all of your
money in one
business. อย่าเสี่ยงเอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจอะไรเพียงอย่างเดียว
How you
got me blind
is still a
mystery. และก็ยังไม่รู้ว่าเธอทำให้ฉันตาบอดได้อย่างไร
สำนวน to get
+ someone +
blind หมายถึง ทำให้คนใดคนหนึ่งนั้นตาบอด สำนวนว่า
is still a mystery
ก็คือ
ยังคงเป็นสิ่งที่ลี้ลับอยู่
สำนวนนี้เป็นสำนวนยอดฮิตอีกเหมือนกัน
อะไรก็ตามที่โลกวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เขาก็จะใช้สำนวนนี้มาช่วยอธิบาย I
can’t get you
out of my
head. ฉันลืมเธอไม่ได้(เอาเธอออกไปจากใจไม่ได้)
To get +
someone + out
of one’s head. ก็คือ เอาคนใดคนหนึ่งออกไปจากหัวหรือความทรงจำ ซึ่งก็คือ
การลืม
Don’t care
what is written
in your history. ไม่เคยใส่ใจเลยว่าในอดีตนั้นเธอจะเป็นอย่างไร
สำนวน Don’t care หมายถึง ไม่สนใจ ส่วน what is
written in your
history ก็คือ สิ่งที่เขียนไว้ในประวัติศาสตร์ของเธอ เรียกว่า
ไม่สนหรอกว่าเธอจะมีประวัติที่ด่างพร้อยมากเพียงใด แต่ที่รู้ก็คือ ตอนนี้รักเธอเป็นพอ As
long as you’re
here with me ตราบใดที่เธอยังอยู่กับฉัน
สำนวน As long
as ใครคนใดคนหนึ่ง กริยา is
/ am / are + here
with + ใคร ก็คือ
ตราบใดที่คนใดคนหนึ่งอยู่ที่นี่กับคนนั้น I don’t
care who you
are ฉันไม่สนว่าเธอเป็นใคร where
you’re from ไม่เคยสนว่าเธอมาจากไหน What you
did ก็คือ การใช้ประโยคที่เมื่อเอาคำแสดงคำถามมาอยู่กลางประโยค ต่อมาจะต้องเป็นประธาน ตามด้วยกริยา I
don’t care who
are. I don’t
care where you
are from. I
don’t care what
you did.
As
long as you
love me ตราบที่เธอยังรักฉัน Every
little thing that
you have said
and done. สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เธอพูดและทำนั้น สำนวน Every little
thing that you have said and
(have) done เขาละคำว่า have
ไป เพราะมันจะไปใช้ร่วมกับกริยาในส่วนแรก ที่ใช้ในรูปของ have
+ กริยาช่อง 3 หมายถึงว่า ที่ทำและที่พูดแล้ว (เมื่อไหร่ไม่สน) ที่บอกว่าสนใจก็คือ
เรื่องเล็กๆน้อยๆต่างหาก Every little thing. Feels like it’s deep within
me ดูเหมือนว่าจะฝังลึกลงในใจฉัน Doesn’t really matter if
you’re on the run. และก็ไม่สำคัญอะไรเลย หากเธอจะปิดบังอะไรฉัน
สำนวน to be on the run มีสองความหมาย คือ วิ่งหนี กับ
ปิดบังอยู่ สำนวน doesn’t matter หมายถึง ไม่สำคัญ
หากจะบอกว่า สำคัญ ก็คือ It matters.
It
seems like we’re meant to be ดูเหมือนว่า เราถูกสร้างมาเป็นคู่กัน
สำนวน It seems like … หมายถึง ดูเหมือนว่า ใช้เวลา
ผู้พูดต้องการจะสื่อความคิดเห็น ความรู้สึก ส่วน to be meant to + กริยา หมายถึง ถูกสร้างมาเพื่อที่จะ … เช่น She
is not meant to be my girlfriend.
หล่อนไม่ได้ถูกสร้างมาให้เป็นแฟนฉัน I’ve tried to hide it หมายถึง
พยายามที่จะปิดบังไว้ ส่วน no one knows ก็คือ
ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ระวังการใช้กริยาด้วย เขาให้ใช้ในรูปเอกพจน์ But I
guess it shows แต่ฉันคิดว่าความรักนั้นก็เผยตัวมันออกมาให้เห็น
สำนวน I guess คือ ฉันคิดว่า When you look into my
eyes เมื่อเธอมองที่ตาฉัน สำนวน to took into someone’s eyes
คือ มองเข้ามาในตา ซึ่งเป็นหน้าต่างของหัวใจ What you did
and where you’re coming from เธอทำอะไรมา และเธอมาจากไหน I
don’t care, as long as you love me, baby. ฉันไม่สนใจเลย
ตราบใดที่เธอยังรักฉัน
วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ.2558 ดิฉันฟังเพลง
Take Me to Your Heart ของศิลปิน Michael learns to
rock เพลงนี้เป็นเพลงที่เพราะมาก ทำให้จิตใจเราสบายและเพลงก็ฟังสบาย
เหมาะกับคนที่กำลังขาดความรักความอบอุ่นทางใจ เพลงนี้มีความหมายดี Take Me
to Your Heart โปรดรับฉันไว้ในใจเธอ แค่ชื่อเพลงก็รู้สึกดีแล้ว
คงไม่มีสำนวนอะไรที่ยากหรอก แค่บอกว่า Take me to your heart ก็คือ ช่วยเอาตัวฉันใส่ไว้ในใจเธอด้วยนะ จากสำนวนว่า to take + ใคร + to ที่ใด ก็คือ พาคนๆนั่นไปที่นั่น
Hiding from
the rain and snow หลบฝนหลบหิมะที่หนาวเหน็บ สำนวน to hide หมายถึง ซ่อน เช่น The thief always hides the stolen items. ขโมยมักจะซ่อนของที่ขโมย ส่วนที่ไว้ที่ไหนนั้น
หากจะต้องการบรรยายก็ใช้คำบุพบทก็ใช้คำบุพบทไปตามเรื่อง เช่น under(ใต้) in(ใน) ส่วนสำนวนที่เห็น to
hide from ก็คือ ซ่อนตัวจาก หลบจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยการซ่อน
ในภาษาเพลง เราจะเจอคำนี้ถูกนำมาใช้ในเชิงความรู้สึกได้ เช่น I can’t hide
my gladness. ฉันเก็บซ่อนความดีใจไว้ไม่อยู่ She can hide
her disappointment. เธอสามารถซ่อนความผิดหวังได้
Trying to
forget but I won’t let go พยายามลืมแต่ลืมไม่ลง สำนวน to
try to do หมายถึง พยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ส่วนสำนวนว่า to
let go หมายถึง ปล่อยให้ผ่านไป อย่าไปคิดถึงมันเลย มาจากสำนวน to
let + go ในที่นี้คือ ปล่อยให้มันผ่านไปไม่ได้ Looking at a
crowded street มองออกไปถนนที่คลาคล่ำด้วยผู้คน สำนวนที่น่าสนใจคือ a
crowded street หมายถึง ถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน
Listening to
my own heart beat ฟังเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง คนแต่งเพลงใช้คำคล้องจองดีมาก
จาก looking มาสู่ listening สำนวน to
listen to หมายถึง ฟัง หากเป็นฟังเพลงก็ to listen to music ในเนื้อเพลงคือ ฟังเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง เราก็คุ้นกับสำนวนว่า My
heart is beating. หัวใจฉันเต้น คำว่า to beat หมายถึง เต้น (เป็นการเต้นของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง) หากคุ้นกับภาษาเพลงรัก
มักจะได้ยินสำนวนว่า Do you hear my heart beating? นี่เธอได้ยินเสียงหัวใจฉันเต้นไหม
So many
people all around the world มีคนมากมายเหลือเกินบนโลกนี้ สำนวน all
around the world หมายถึง ทั่วโลก มาจากคำว่า all around + คำนามที่เป็นสถานที่ หมายถึง ทั่วไปหมด เช่น all around the house ทั่วบ้าน all around the country ทั่วประเทศ Tell
me where do I find someone like you girl ช่วยบอกฉันทีเถอะ
ฉันจะหาผู้หญิงอย่างเธอได้จากที่ไหน เมื่อเห็นคำว่า someone like you girl หมายถึง ผู้หญิงอย่างเธอ เราสามารถนำไปใช้ทั้งในแง่ดีและแง่ร้ายได้
แล้วแต่อารมณ์ของคนใช้ เขาใช้คำมาเรียงต่อกัน you girl หรือ you
guy หรือ you boy
Take me to
your heart , take me to your soul รับฉันไว้ในใจด้วยนะ
รับฉันไว้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต Give me your hand before I’m old ยื่นมือเธอมาให้ฉันกุมก่อนที่ฉันจะไม่มีเวลา Show me what love is
haven’t got a clue บอกฉันหน่อยซิว่า
รักนั้นเป็นฉันใด ฉันไม่รู้จริงๆนะ
สำนวน Show
me + สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็คือ
งัดเอาสื่งนั้นมาให้ดูหน่อย
ในที่นี้คือ Show ma
what love is หวานซะไม่มี
อะไรกันรักนั้นเป็นยังไง
โครงสร้างที่ขอให้จดจำคือ
เวลามีพวก What ,
When , Where
, why , how อยู่กลางประโยคแบบนี้ ต้องเอาประธานมาไว้หน้ากริยา ส่วนสำนวนต่อไปนี้ to
have a clue หมายถึง บอกใบ้ clue
คือ
สิ่งชี้แนะไปสู่คำถาม ดังนั้น หากต้องการจะสื่อว่า ฉันไม่รู้คำใบ้เลย
Show me
that wonders can
be true ได้โปรดทำให้ฉันรู้เถอะว่า ปาฏิหาริย์นั้นมีจริง สำนวน wonders นั่นคือ สิ่งมหัศจรรย์
เรามักจะได้พบคำว่า wonderful คือ คำคุณศัพท์
หมายถึง มหัศจรรย์ สวบงามมาก
เลิศมาก อร่อยมาก They
say nothing lasts
forever คนเขาพูดกันว่า ไม่มีสิ่งใดยั่งยืนได้ตลอดไป
ประโยคนี้ใช้เป็นประโยคเตือนใจของเราได้เลยว่า อยากจะทำอะไรก็ทำ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด และสิ่งที่เกิดมันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา นี่คือสัจธรรม
Nothing last forever
เช่นเดียวกับความรัก
ความทุกข์
เราสามารถประยุกต์ใช้ว่า
อะไรก็ตาม doesn’t last
forever สิ่งนั้นไม่ได้ยั่งยืนอะไร
We’re only here today เราอยู่ด้วยกัน ณ ตรงนี้แล้ว
และในเมื่อรักมันไม่ได้ยั่งยืน
เราอยู่กันตรงนี้ ก็ควรทำสิ่งดีๆ ต่อกัน
Love is now
or never เรามารักกันเถอะ จากสำนวนว่า
Love is now
or never สำนวนนี้มาจากสำนวนว่า now
or never ซึ่งเป็นตำพูดอมตะว่า ทำตอนนี้หรือไม่ก็ไม่ต้องทำมันเลย เช่น Do it
now or never ทำมันซะตอนนี้หรือไม่ก็ไม่ต้องทำมันเลย Go now
or never ไปก็ไป
ไม่งั้นก็ไม่ต้องไป Bring me
far away มันจะยิ่งทำให้เราห่างไกลออกไปอีก สำนวน Far away ก็คือ ไกลออกไป Take
me to your
heart take me
to your soul รับฉันไว้ในใจเธอด้วยนะ
Give me
your hand and
hold me ส่งมือมาให้ฉันเถอะและกอดฉันไว้ สำนวน to
give me
your hand ยื่นมือมาให้ฉัน และ
hold me กอดฉันไว้
คำว่า to hold ก็คือ กอดไว้ Show
me what love
is-be my guiding
star บอกฉันหน่อยสิว่า รักนั้นเป็นฉันใด ช่วยเป็นดาวนำทางให้ฉันเถอะ สำนวน guiding star ก็คือ
ดาวเหนือ
ที่คนมักใช้เป็นดาวในดารเดินทางเวลาหลงป่า
It’s easy take
me to your
heart ไม่ยากเลย เพียงแค่รับฉันเข้าไว้ในใจเธอ Standing on
a mountain high ยืนตระหง่านอยู่บนเขา คำว่า high ไปอยู่หลังคำว่า mountain นี่เป็นภาษาเพลง ยืนอยู่บนภูเขา แล้วยืดตัวขึ้นไปอีกให้สูงที่สุด
Looking at
the moon through
a clear blue
sky
มองดูดวงจันทร์ที่ลอยกระจ่างอยู่บนฟากฟ้าสดใส
ยืนให้สูงไว้ก็เพื่อที่มองไปที่ดวงจันทร์ผ่านท้องฟ้าที่สดใส I
should go and
see some friends
น่าจะออกไปหาเพื่อนบ้างดีกว่า สำนวน
to go and
see some friends เป็นภาษาที่เรียบร้อยง่าย แต่กินใจ
But they don’t
really comprehend แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจฉัน คำว่า to comprehend
เป็นคำหรูหรา
แต่เราก็คุ้นเคยเพราะมันนำไปสู่คำว่า
comprehension หมายถึง ความเข้าใจ Don’t
need too mush taking
without saying anything
ไม่ต้องเอื้อนอ่อนอะไรหรอก
all I need
someone who makes
me wanna sing ทั้งหมดที่ต้องการคือ
ใครสักคนที่ทำให้ฉันอยากจะร้องเพลงได้
สำนวน makes me
wanna มาจาก to
make me want
to นั่นเอง
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ.
2558
ดิฉันฟังเพลง Memory ของศิลปิน Barbra Streisand มีเนื้อเพลงว่า Midnight , not
a sound from
the pavement เที่ยงคืนแล้ว ทางเดินเท้าเงียบกริบ สำนวน Not
+ คำนาม หมายถึง ไม่มีสิ่งนั้นแม้แต่สิ่งเดียว เช่น Not a
panny in my
pocket.
ไม่มีเงินแม่แต่แดงเดียวในกระเป๋าฉัน
Not a house
in this area ไม่มีบ้านในละแวกนี้สักหลัง Not
a man in
here ไม่มีคนแม้แต่คนเดียวที่นี้ Has
the moon last
her memory? จันทร์เจ้าลืมแล้วหรือไร สำนวน To lose
one’s memory หมายถึง สูญเสียความทรงจำ เช่น The patient
has lost his
money คนไข้นั้นจำอะไรไม่ได้แล้ว
She is
smiling alone จึงยิ้มอยู่แต่ผู้เดียว เขาเปรียบเทียบ She
คือ The moon
in the lamplight
the withered leaves
collect at my
feet ภายใต้แสงไฟ ใบไม้เหี่ยวร่วงโรยหล่นกองอยู่แทบเท้าฉัน สำนวน in the
lamp light ก็คือ แสงไฟที่เกิดจากโคมไฟ ส่วนไฟที่ส่องมาจากหลอดไฟนีออนยาวๆนั้น เขาใช้คำว่า
a fluorescent light ส่วนคำว่า a neon
light หมายถึง
ไฟที่ใช้ในตามป้ายที่มีหลากสีสันที่เห็นโฆษณาทั่งเมือง
And the
wind begins to
moan
และสายลมเริ่มคร่ำครวญ Memory
, all alone in
the moonlight โอ้ความทรงจำ สุดอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวท่ามกลางแสงจันทร์ สำนวน in the
moonlight ก็คือ ท่ามกลางแสงจันทร์ หากจะบอกท่ามกลางแสงตะวัน in
the sunlight และที่เราจะพบบ่อยๆ อีกก็คือ
moonlit + คำนามหมายถึง
ที่อยู่ใต้แสงจันทร์ เช่น a
moonlit dinner = อาหารค่ำใต้แสงจันทร์ ส่วนอาหารที่ทานกันใต้แสงเทียน a
candlelit dinner ส่วน sunlit
ก็เช่นกัน
เป็นการอธิบายว่าตรงไหนมีแสงอาทิตย์ส่องเจิดจรัสก็ใช้คำนี้ได้
I can
smile at the
old days. ฉันยังยิ้มออกเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ สำนวน to smile
at + ใครหรือสิ่งของใด หมายถึง
ยิ้มให้กับสิ่งนั้น สำนวน the
old days ก็คือ
คืนวันเก่าๆ It was
beautiful then ช่วงนั้นช่างเป็นช่วงที่มีความสุข I
remember the time
I knew that
happiness was ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันรู้จักความสุขได้ Let
the memory live
again ขอให้ความทรงจำนั้นกลับคืนมาอีกที Every
streetlamp seems to
beet a a
fatalistic warning โคมไปตามท้องถนน เหมือนจะเป็นการตักเตือนที่แสนจะโหดร้าย Someone mutters
and this streetlamp
sputters เสียงคนพึมพำและเสียงโคมไฟกระพริบ and
soon it will
be morning เดี๋ยวก็เช้าแล้วนะ
Daylight แสงตะวัน I
must wait for
the sunrise ฉันต้องรอคอยเวลาฟ้าสาง สำนวน to wait
for + ใครหรืออะไร
หมายถึง รอคอย ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้น ชาวต่างชาติใช้คำว่า the
sunrise ส่วนตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน เราใช้คำว่า
the sunset ในมุมมองของชาวต่างชาตินั้น พระอาทิตย์ขึ้นนั้นแทนความงดงาม เป็นความหวังของชีวิต และช่วง
the sunset ก็คือ
ช่วงสิ้นสุดของการต่อสู้ I must
think of a
new life ฉันต้องนึกถึงชีวิตใหม่ สำนวน to thing
of + สิ่งใด
จะหมายถึง คิดถึง And
I mustn’t give
in และฉันจะต้องไม่ยอมแพ้ สำนวน to give
in = ยอมแพ้
เหมือนกับ surrender
When the
dawn comes, tonight
will be a
memory , too เมื่ออาทิตย์อัสดงคืนนี้จะกลายเป็นเพียงแค่ความหลังเช่นกัน อย่างที่บอกมาแล้วข้างต้นว่า เมื่อยามที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็คือ เสลาที่สรรพสิ่งจบสิ้นลง ส่วนสำนวนว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง + will be
a memory หมายถึง สิ่งนั้นจะกลายเป็นความทรงจำ And
the new day
will begin และวันใหม่ก็จะเริ่มขึ้น (ความหวังใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นอีก) Burnt
out ends of
smoky day ทำให้วันอันทุกข์ระทมสิ้นสุดลง สำนวน to burn
out + สิ่งใด
ก็คือ
เผาผลาญให้สิ่งนั้นหมดไป
ในที่นี้ก็คือ ทำให้วันที่มีควันนั้นหมดไป คำว่า smoky หมายถึง ที่เต็มไปด้วยคน
The stale
cold smell of
morning กลิ่นอากาศเหม็นอับในยามเช้าอันเยือกเย็น คำว่า stale cold
smell of morning
กลิ่นอากาศเหม็นอับในยามเช้าอันเยือกเย็น คำว่า stale หมายถึง ที่อับในที่นี้ก็คือ กลิ่นอับของตอนเช้า A
streetlamp dies ไฟถนนดับแล้ว คำว่า dies ในที่นี้หมายถึง ดับไป Another night
is over อีกคืนหนึ่งผ่านไปแล้วนะ สำนวน to be
over หมายถึง สิ้นสุด
เช่น The game
is over การแข่งขันสิ้นสุดแล้ว The
exam is over การสอบสิ้นสุดลงแล้ว
Another day
is dawning วันใหม่กำลังจะมาถึง คำว่า to dawn ก็คือ
เกิดขึ้นใหม่ Touch me สัมผัสฉันซิ It’s so
easy to leave
me ง่ายเหลือเกินที่จะเดินจากฉันไป All
alone with the
memory of my
days in the
sun ให้อยู่โดดเดี่ยวกับความทรงจำของวันอันแสนสุข in
the sun มักหมายถึงเวลาที่มีความสุข It
you touch me ,
you’ll understand is เข้าใจว่าความสุขนั้นเป็นเช่นไร
เราสามารถนำความรู้สึกอื่นเข้ามาประยุกต์ใช้ได้ Look! A new day
has begun ดูนั้นซิ วันใหม่ได้เริ่มแล้ว
ทั้งนี้สิ่งที่น่าเรียนรู้ในการร้องเพลงนั้น
ไม่น่าจะหยุดอยู่แค่เพียงความสามารถในการร้องออกเสียงได้เหมือนหรือคล้ายที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น แต่ผู้เรียนยังสามารถนำส่วนต่างๆ
ที่เรียนรู้จากการร้องเพลงมาประยุกต์ใช้ในการพูดในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย ภาษาเพลงนั้นเป็นภาษาเฉพาะ อาจจะไม่รู้ไวยากรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ภาษาเพลงก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาเอง การร้องเพลงได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการดีต่อตัวเองเท่านั้น
เพราะนอกจะเข้าถึงวัฒนธรรมและความคิดที่สอดแทรกอยู่ในเพลงที่ร้องแล้ว เรายังฝึกตัวเองในการเข้าสังคมอีกด้วย เพราะในอนาคตเราอาจจะถูกเชิญให้ไปร้องเพลง
นอกจากการฟังเพลงภาษาอังกฤษซึ่งช่วยพัฒนาทักษะการฟังแล้ว ดิฉันยังมีการฝึกอ่านคำคม เนื้อหา
ที่เป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย
เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน
ทั้งนี้ข้อมูลที่นำมาอ่านนั้นส่วนใหญ่จะมาจากอินเตอร์เน็ต จาก Facebook ซึ่งเป็นเพจคำคมภาษาอังกฤษ ที่เกี่ยวกับการศึกษา
คนทั่วไปสามารถเข้าไปอ่านเพื่อให้แง่คิดต่างๆ ได้มากมาย
และจะทำให้รู้ด้วยว่าตัวเราเองมีความสามารถในการอ่าน วิเคราะห์
ภาษาอังกฤษมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างภาษาอังกฤษให้กับตัวเราเองด้วย
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน
พ.ศ. 2558 ดิฉันได้อ่านเรื่อง Noun
Clause
โดยเนื้อหาที่อ่านเรื่อง Noun clause มีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ
ทั้งนี้การที่ดิฉันพยายามอ่านเนื้อหาที่มีภาษาอังกฤษทั้งหมดเพราะ ฝึกทักษะการอ่านของดิฉันด้วยว่ามีความเข้าใจไหม ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้ A Noun
clause is a subordinate
clause that does
the work of
a noun in
a sentence . A
noun clause usually
begins with words
like that ,
what , if
, whether , how ,
where , who
, whom ,
whose, why , however ,
whatever , whoever
, etc Example : She
does not know where he
went whether he
will win is
undecided. Whatever you do ,
do it well
A noun clause
acts as a
noun in a
sentence . It can be
function in different
ways.
The function
of noun clause
: 1) as subject
of a verb
: what route
we take is
our choice. 2)
as object of
a verb :
I thought that
we would watch
a movie. We
know that a noun clause
can function as the
object
of the the
verb in a
sentence. It can
also function as
the object of
a participle ,
a preposition or
an infinitive 1) as
object of a
participle : Discovering
that it was
right , I
jumped with joy.
2) as object
of a preposition
: Sometimes I
think of what
he said 3)
as object of
an infinitive :
Jim wants to
know where his
friends are.
Let us
look at more
functions of the
noun clause :
as an adjective
complement : the
girls were happy
that Saturday was
a holiday. As
a complement of
a verb of
incomplete predication :
The problem is
that we do
not have a
leader. In apposition
to a noun
or a pronoun
: The man
that we saw
there is Mr.
Harris . As we
have seen a
noun clause has
several functions in
a sentence. It
functions : as
subject of a
verb , as
object of a
verb , as
object of a
participle , as
object of a
preposition , as
object of an
infinitive , as
an adjective complement ,
as complement of a verb
of incomplete predication
and in apposition
or addition to
a noun or
a pronoun.
We have
looked at noun
clauses. Now let
us read some
more examples. 1)
my belief is that we
will win ! (complement
of verb of
incomplete predication) 2) sometimes people
wish that they
could go back
in time (Object
of a verb)
3) How the
documents missing is
anvore’s guess (Subject
of a verb)
4) Hoping that
she loved chocolate
, Joshua bought
a box of
bonbons. (object of
a priciple)
จากการอ่าน Noun clause ที่มีเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ดิฉันพอจะจับใจความได้ว่า Noun
clause
เป็นประโยครองที่ทำหน้าที่เป็นคำนามในประโยค Noun
clause
ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วยคำว่า
that , what
, if ,
whether , how
, where ,
who , whom
, whose, why
, however ,
whatever , whoever
, etc ซึ่งหน้าที่ของ like
that , what
, if ,
whether , how , where
, who ,
whom , whose,
why , however
, whatever ,
whoever , etc มีดังนี้
เป็นประธานของกริยา
กรรมของกริยา ซึ่ง Noun
clause
ที่เป็นกรรมของกริยาสามารถแบ่งหน้าที่ออกได้ 3 แบบ
คือ กรรมของกริยาเติม ing หรือกริยาช่อง
2 , กรรมของคำบุพบท และกรรมของกริยา infinitive นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมีหน้าที่อีกมากมาย Noun
clause เช่น คำขยายคุณศัพท์ ส่วนเติมเต็มกริยา ขยายคำนามหรือคำสรรพนามดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า Noun
clause
มีหน้าที่ที่หลากหลายในประโยค
การฝึกอ่านเนื้อหาวิชาภาษาอังกฤษเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดนั้นเป็นการฝึกทักษะการอ่านอย่างหนึ่งในภาษาอังกฤษ ช่วยทำให้เรารู้จักคำศัพท์มากขึ้น
ทำให้มีทักษะในการเรียงคำเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น นอกจากการอ่านเนื้อหาที่จะเรียนแล้ว ดิฉันยังได้อ่านคำคมที่เป็นภาษาอังกฤษ ในคำคมมีคำใช้สละสลวย คำศัพท์บางคำแปลกตา
ไม่เคยเห็นมาก่อนแต่ก็เป็นการเพิ่มคลังคำศัพท์ให้ตัวดิฉันเอง คำคมที่ดิฉันอ่านนั้นมาจาก Facebook ชื่อว่า
Word Porn
คำคมแรก คือ We
want to live
in a relationship
that will not
impedes our wandering
, nor prevent
our search ,
nor lock us
in prison walls
; that will
take us for
what little we
have to give.
We do not
want to prove
ourselves to another
or complete for
love. For wanderers,
dreamers and lovers , for
lonely men and
women who dare
to ask of
life everything good
and beautiful. It
is for those
who are too
gentle to live
among wolves. James
Kavanaugh
จากคำคมนี้ ดิฉันเข้าใจว่า
เราต้องอยู่ในความสัมพันธ์ซึ่งไม่มีการกีดขวาง เป็นการเดินทางอย่างไร้จุดหมายของเรา ไม่มีใครขัดขวาง ไม่มีการค้นหา
ไม่ขังเราไว้ในกำแพงคุก
เราไม่ต้องการพิสูจน์ตัวเราเองเพื่อสิ่งที่แตกต่างหรือทั้งหมดสำหรับความรัก สำหรับผู้ท่องเที่ยวไปโดยไร้จุดหมาย คนช่างฝันและคนรัก สำหรับชายและหญิงที่อ้างว้าง ผู้ซึ่งกล้าเผชิญเพื่อถามสิ่งสวยงามและสิ่งดีๆ สำหรับชีวิต
มันเป็นสิ่งเหล่านั้น
ผู้ซึ่งเป็นคนอ่อนโยน
อย่างมากในอาศัยท่ามกลางฝูงหมาป่า, James Kavanaugh กล่าว
คำคมที่สอง คือ People always
say that when
you love someone,
nothing in the
world matters . but
that’s not true ,is
it ? You
know, and I
know that when
you love someone
, everything in
the world matters
a little bit
more. Jodi Picoult
จากคำคมนี้ ดิฉันเข้าใจว่า คนเรามักจะพูดคำนั้น เมื่อคุณรักใครสักคนไม่มีอะไรในโลกสำคัญ แต่นั้นมันก็ไม่ถูกต้องหรือไม่ คุณรู้และฉันเองก็รู้
ซึ่งเมื่อคุณรักใครสักคนทุกสิ่งในโลกนี้ก็จะสำคัญน้อยลงไป Jodi
Picoult
คำคมที่สาม คือ Not everything
is supposed to
become something beautiful
and long-lasting. Sometimes
people come into
your life to
show you what
is right and
what is wrong , to
show you who
who you can
be to teach
you to love
yourself , to make you
feel for a little
while , or to
just be someone
to walk with
at night and
spill your life
to. Not everyone
is going to
stay forever, and we still
have to keep
on going and
thank them for
what they’ve given
us . Emery Allen
จากคำคมนี้ ดิฉันเข้าใจว่า
ไม่มีสิ่งไหนที่ถูกคาดเดาให้กลายเป็นบางสิ่งที่สวยงามและมั่นคงถาวรยาวนาน บางครั้งคนคนหนึ่งจะเข้ามาในชีวิตคุณ
เพื่อพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าอะไรถูกและอะไรผิดเพื่อพิสูจน์คุณผู้ซึ่งสามารถเป็น เพื่อสอนคุณให้รักตัวเอง เพื่อทำให้คุณรู้สึกดีมากๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ
บางคนเดินเข้ามาในยามราตรีและทำลายชีวิตคุณ ไม่มีใครที่จะอยู่กับเราไปตลอดกาล และพวกเรายังคงจำเป็นต้องเดินทางต่อไป
และขอบคุณสิ่งเหล่านั้นที่พวกเขาได้ให้กับคุณ Emery
Allen
คำคมที่สี่ คือ To
share our sadness
with one we
love is perhaps
as great a
joy as we can know-unless
it be to
share our laughter.
James Kavanaugh จากคำคมนี้
ดิฉันเข้าใจว่า
การแบ่งปันความเศร้าด้วยความรักของพวกเรา
อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเรารู้
อาจจะไม่ใช่แค่เพียงการแบ่งปันเสียงหัวเราะของพวกเราเพียงเท่านั้น James
Kavanaugh
คำคมที่ห้า คือ Intimacy is
not who you
let touch you.
Intimacy is giving
someone your attention
, when ten
other people are
asking for it.
Intimacy is the
person always in
the back of
your mind ,
no matter how
distracted you are.
จากคำคมนี้ ดิฉันเข้าใจว่า ความใกล้ชิดไม่ใช่ใคร ที่คุณจะสัมผัสแล้วปล่อย ความใกล้ชิดเป็นการให้บางคนเอาอกเอาใจคุณ เมื่อคนสิบคนกำลังถึงมัน ความใกล้ชิดคือคนคนหนึ่งที่อยู่ในอดีตของหัวใจคุณ มีอะไรที่คุณวิตกกังวล
คำคมที่หก คือ I was
born with an
enormous need for
affection, and a
terrible need to
give it . Audrey
Hephurn หมายถึง ฉันเกิดมาพร้อมกับความต้องการที่เยอะมาก ต้องการความรัก
คำคมที่เจ็ด คือ The saddest
people have the
most beautiful smile.
Demi Lovato หมายความว่า ในความเสียใจที่สุดของคนเรา
ยังมีรอยยิ้มที่สวยงาม Demi
Lovato กล่าว
คำคมที่แปด คือ The best
portion of your
life will be
the small, nameless
moment you spend
smiling with someone
who matters to
you . Ritu
Ghatourey
คำคมที่แปด หมายถึง
ส่วนหนึ่งในชีวิตที่ดีที่สุดของคุณจะเป็นสิ่งเล็กน้อยและคุณจะแบ่งปันรอยยิ้มให้กับคนคนหนึ่ง ผู้ซึ่งมีความสำคัญกับคุณ Ritu
Ghatourey
คำคมที่เก้าคือ But
just because you’re
strong and resilient
doesn’t mean you
never need someone
to be there
for you , to take
care of you. Tammara
Webber หมายความว่า
แต่ทว่าเพียงแค่เพราะคุณแข็งแรงและหายป่วยแล้ว
ไม่ได้หมายถึงว่าคุณไม่ต้องการใครสักคนเพื่อจะอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลคุณ
Tammara Webber กล่าว
คำคมที่สิบ คือ Ultimately ,
the universe doesn’t
care about us
. Time doesn’t
care about us.
That’s why we
have to care
about each other .
David Levithan หมายความว่า ในที่สุดทั้งหมดในโลกนี้ก็ไม่สนใจในตัวเรา เวลาก็ไม่สนใจพวกเรา เช่นนั้นแล้ว
ทำไมพวกเราไม่สนใจกันและกัน David Levithan
คำคมสุดท้าย คือ “You scare
me ,” ha said “why
?” She asked
“Because I tell
you things I
Can’t even tell
myself.” หมายความว่า “คุณกลัวฉัน” เขาพูด “ทำไมหรอ” หล่อนถาม “
เพราะฉันบอกคุณหลายๆอย่าง
ฉันไม่สามารถคุยเกี่ยวกับตัวฉัน”
จากการอ่านคำคมใน Facebook
ทำให้ดิฉันพบสำนวนภาษาอังกฤษแปลกๆใหม่ๆและพยายามที่จะค้นหาความหมายของสำนวนนั้นๆ การอ่านคำคมนี้ ทำให้ดิฉันฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษในระดับหนึ่ง และได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ พร้อมกับบริบทของคำศัพท์ที่อยู่ในคำคม
นอกจากการอ่านแล้วดิฉันยังพยายามฝึกพูดคุยสนทนากับเพื่อนในห้องเป็นภาษาอังกฤษในแชทไลน์
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558 ดิฉันสนทนาเป็นภาษาอังกฤษกับนายภานุเดช ขวัญเทพ
เพื่อนนักศึกษาในห้องเรียน
ทางแชทไลน์
ส่วนใหญ่เรื่องที่คุยกัน
จะเป็นการถามการบ้าน
ภาษาอังกฤษที่เราใช้การสนทนาอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่เราก็พยายามสื่อสารกันให้เข้าใจ อาจจะมีการเปิด dictionary บ้างในระหว่างที่สนทนากัน
เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจในความหมายที่เราต้องการสื่อสารออกไป
จากการสนทนาในแชทไลน์เป็นภาษาอังกฤษ ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้คำศัพท์ไปในตัว
และคำศัพท์บางคำศัพท์ก็โผล่ขึ้นมาในเวลาที่เราต้องการใช้ ทำให้เราซึมซับคำศัพท์ใช่ช่วงเวลานั้นไปโดยอัตโนมัติดิฉันคิดว่าการฝึกตนเองให้ใช้ภาษาอังกฤษในทุกสถานการณ์ ทำให้เราเรียนรู้ได้ดีมากกว่าการท่องจำ เพราะการท่องจำอาจทำให้เรารู้สึกกดดัน และทำให้เกิดการเรียนรู้ไม่ดีเท่าที่ควร
การเรียนรู้นอกห้องเรียนของดิฉันในสัปดาห์ เป็นการเรียนรู้ที่หลากหลาย ฝึกทักษะภาษาอังกฤษในหลายๆด้าน มีทั้งการฟังเพลง การอ่าน
การสนทนา
แต่การเรียนรู้ในแต่ละอย่างไม่ได้มีความกดดันจนทำให้รู้สึกเครียดหรือกังวล เพราะเราเอาภาษาอังกฤษมาไว้ในหัวใจ
เราเลยชอบที่จะเอาใจใส่ในการฝึกฝนเพื่อให้ภาษาอังกฤษของเรานั้น
พัฒนาขึ้น การฟังเพลงสากลก็ทำให้ฉันได้สำนวนมากมายจากเพลงและยังได้เปล่งเสียงร้องเพลงพร้อมถ่วงทำนองอีกด้วย การอ่านคำคมทำให้ดิฉันได้ขอคิดมาบ้าง
อาจจะมีแปลความหมายจากคำคมผิดบ้าง
แต่โดยรวมคือเข้าใจ
การสนทนากับเพื่อนในแชทเป็นภาษาอังกฤษ
เป็นการฝึกใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์ทำให้เรียนรู้ ทั้งนี้การพัฒนาทักษะต่างๆ ทำให้การใช้ภาษาอังกฤษเราดีขึ้น หากเราฝึกฝนบ่อยๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น