ภาษาอังกฤษในปัจจุบันเป็นภาษานานาชาติ
เป็นภาษากลางของโลก ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาประจำชาติ เมื่อต้องติดต่อกับคนอื่นที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรม
ทุกคนจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ทุกชาติทุกภาษาจึงบรรจุวิชาภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองรองลงมาจากภาษาประจำชาติ
เป็นแกนหลักของหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ปฐมวัยไปจนถึงการศึกษาตลอดชีวิต ซึ่งทำให้การเรียนภาษาอังกฤษกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในสังคมปัจจุบัน
เพราะเราจำต้องใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับชาวต่างชาติ
ยิ่งเรามีความสามารถการใช้ภาษามากเท่าไหร่ การสื่อสารกับชาวต่างชาติก็เป็นไปอย่างคล่องแคล่วเท่านั้น
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าแต่ละโรงเรียนจะมีการสอนภาษาอังกฤษระดับพื้นฐานเพื่อเป็นการปูรากฐานให้นักเรียนเพื่อต่อเนื่องมายังระดับมหาวิทยาลัย
ในขณะเดียวกันการเรียนภาษาระดับมหาวิทยาลัยจะเป็นการเจาะลึกลงไปเพื่อให้เห็นรากฐานทางภาษาชัดเจนขึ้น
เช่น Syntax (โครงสร้างประโยค) , Phonology (เสียง) , Semantic (ความหมายในภาษา)
ทำให้การเก็บเกี่ยวความรู้จากในห้องเรียนแต่ละครั้งเป็นสิ่งสำคัญ
การเรียนรู้ในห้องเรียนในวันนี้เป็นการทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับ
Tense ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของไวยากรณ์ทางภาษา
โดยมีการเชื่อมโยงกับภาษาศาสตร์ซึ่งประกอบไปด้วย Syntax (โครงสร้างประโยค)
, Phonology (เสียง) , Semantic (ความหมายในภาษา)
ถ้าหากพูดถึง Tense ทุกคนมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเรื่องยาก
เพราะมีโครงสร้างหลากหลายหน้าตา มีลักษณะการใช้ที่เกี่ยวโยงกันไปมา
และมีความซับซ้อนคลุมเครือ ทุกครั้งที่เราจะต้องใช้ประโยคภาษาอังกฤษในการสื่อสาร Tense
จะเข้ามามีบทบาทอยู่เสมอ ฉะนั้นเราต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้วิธีการใช้
Tense ให้แม่นยำ ถ้าถามว่า Tense คืออะไร
Tense ก็คือ รูปของคำกริยาที่บอกเวลาของการกระทำในภาษาอังกฤษ
การกระทำที่เกิดขึ้นในเวลาที่แตกต่างกันจะใช้รูปของคำกริยาที่แตกต่างกัน อาทิเช่น I eat. (ฉันกิน) ,
I ate. (ฉันกินแล้ว) , I will eat. (ฉันจะกิน)
ประโยคทั้งสามนี้แสดงให้เห็นว่ารูปกริยาที่เปลี่ยนแปลงไปบอกให้รู้ว่าการกินของฉันนั้นเกิดขึ้นตอนไหน
กล่าวคือ ประโยคแรกจะกล่าวถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้
ประโยคที่สองกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีต และประโยคที่สามจะกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคต
ทั้งนี้การเป็น ปัจจุบัน อดีต และอนาคต เป็นแค่เพียงบทบาทบางส่วนของ Tense เท่านั้น
Tense ในภาษาอังกฤษมีทั้งหมด 12 Tenses มีบทบาทและหน้าที่
หลักการใช้ก็แตกต่างกันไป สามารถแยกตามกลุ่มของเวลา เป็น Past (อดีต) , Present (ปัจจุบัน) , Future (อนาคต) แต่ละกลุ่มของเวลาก็จะมีลักษณะของเหตุการณ์ที่มีความเป็น Simple
, Continuous , Perfect และ Perfect Continuous แต่ละอย่างก็จะมีลักษณะพื้นฐานของตัวมันเอง โดยลักษณะเหตุการณ์แบบ
Simple จะมีรูปกริยาของ Tense ใน Past และ Present
ไม่ซับซ้อนคือ ประธานของประโยค แล้วก็ตามด้วยกริยา ส่วนลักษณะเหตุการณ์แบบ
Future จะเพิ่ม will ขึ้นมาเป็นตัวเสริมทำหน้าที่เป็นกริยาช่วย ลักษณะเหตุการณ์แบบ
Continuous จะมีรูปกริยา Tense คือ Verb
to be (be/is/am/are/was/were/been)
ตัวใดตัวหนึ่ง แล้วตามด้วยกริยาเติม ing อยู่ด้วยเสมอ ลักษณะเหตุการณ์แบบ
Perfect จะมีรูปกริยาของ Tense คือ Verb
to have (have/has/had) ตัวใดตัวหนึ่ง
ตามด้วยกริยาช่อง 3 และสุดท้ายลักษณะเหตุการณ์แบบ Perfect
Continuous มีทั้งความเป็น Perfect และ Continuous
รวมอยู่ในตัว คือมีทั้ง Verb to have กับกริยาช่อง
3 ได้แก่ been โดยจะทำหน้าที่ในฐานะ Verb
to be ให้กับกริยาเติม ing ของ Continuous
ไปด้วยในตัว
หากพูดถึงบทบาทหน้าที่ของ
Tense ทั้ง 12 สามารถกล่าวได้ว่า Present
simple : S + V1 พูดถึงความเป็นจริงหรือข้อเท็จจริงที่เห็นและเป็นอยู่
, Past simple : S + V2 พูดถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในอดีต
, Future simple : S + will + V (infinitive) พูดถึงสิ่งที่จะทำหรือจะเกิดในอนาคต , Present continuous : S +
is/am/are + V-ing พูดถึงเหตุการณ์ที่มีลักษณะเป็นเรื่องชั่วคราวและยังไม่สิ้นสุดลง
ณ เวลาปัจจุบัน , Past continuous : S + was/were + V-ing พูดถึงเหตุการณ์ที่มีลักษณะเป็นเรื่องชั่วคราว
มีช่วงระยะเวลา และยังไม่สิ้นสุดลง ณ เวลาที่อ้างถึงในอดีตตอนนั้น , Future
continuous : S + will + be + V-ing พูดถึงเหตุการณี่มีลักษณะเป็นเรื่องชั่วคราวและยังไม่สิ้นสุดลง
ณ เวลาที่อ้างถึงในอนาคต , Present perfect : S + has/have + V3 เป็นการมองย้อนกลับไปในอดีตจากเวลา ณ ปัจจุบัน
และการกระทำนั้นจะต้องเกี่ยวโยงกับปัจจุบันเสมอ , Past Perfect : S + had +
V3 เป็นการมองย้อนหลังกลับไปยังเวลาก่อนหน้านั้นจากเวลาที่อ้างถึง ณ
จุดใดจุดหนึ่งในอดีตตอนนั้น , Future perfect : S + will + have + V3 เป็นการมองย้อนกลับไปยังเวลาก่อนหน้า โดยมองจากจุดเวลาที่อ้างถึง ณ
จุดใดจุดหนึ่งในอนาคต , Present perfect continuous : S + has/have + been
+ V-ing เป็นการมองย้อนกลับไปในอดีตจากเวลา ณ ปัจจุบัน
และการกระทำต้องเกี่ยวโยงกับปัจจุบัน , Past perfect continuous : S + had
+ been +V-ing เป็นการมองย้อนกลับไปยังเวลาก่อนหน้าโดยมองจากเวลา ณ
จุดใดจุดหนึ่งในอดีตตอนนั้น , Future perfect continuous : S + will + have
+ been +V-ing เป็นการมองย้อนกลับไปยังเวลาก่อนหน้าโดยมองจากจุดเวลาที่อ้างถึง ณ
จุดใดจุดหนึ่งในอนาคต
การเรียนเรื่อง
Tense ในห้องเรียนในวันนี้ ทำให้ดิฉันได้ทบทวนความรู้เกี่ยวกับ
Tense ได้รับความรู้เพิ่มเติมว่า Tense มีความเชื่อมโยงกับ Syntax , Phonology และ Semantic
เพราะการเรียน Tense เราต้องเข้าใจโครงสร้าง
และเข้าใจในความหมายของมันด้วย จึงจะเกิดความเข้าใจในการใช้ Tense ในแต่ละเหตุการณ์ จากการเรียนในห้องเรียนและการศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง Tense
สรุปได้ว่า Tense มีทั้งหมด 12 Tense แบ่งออกเป็นช่วงกาลเวลา 3 ช่วง คือ อดีต ปัจจุบัน
และอนาคต
แต่ละช่วงกาลเวลาจะมีลักษณะเหตุการณ์การเกิดเหตุการณ์แตกต่างกันไปซึ่งประกอบไปด้วย
Simple , Continuous , Perfect , Perfect continuous ถึงแม้ว่า Tense จะมีการเกี่ยวโยงกับเวลา
แต่เวลาก็ไม่ใช่เงื่อนไขทั้งหมดที่เราใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน แม้โดยทั่วไปเวลาจะเป็นส่วนสำคัญในการพิจารณา
แต่ก็ยังมีเกณฑ์อย่างอื่นที่เข้ามามีบทบาทต่อการเลือกใช้ Tense ก็คือ ผู้พูดจะเลือกใช้ Tense ตามความรู้สึกนึกคิดและความเข้าใจที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆ
เป็นสำคัญ ภายใต้เงื่อนไขแห่งธรรมชาติของ Tense ที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือ
ดิฉันจึงตระหนักแล้วว่าธรรมชาติของ Tense เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ
เมื่อต้องการสื่อสารความรู้สึกนึกคิดออกไปให้คนอื่นรับรู้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น