วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Learning log week 3 ( Inside Class )





ภาษาอังกฤษในปัจจุบันเป็นภาษานานาชาติ เป็นภาษากลางของโลก ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาประจำชาติ เมื่อต้องติดต่อกับคนอื่นที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรม ทุกคนจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ทุกชาติทุกภาษาจึงบรรจุวิชาภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองรองลงมาจากภาษาประจำชาติ เป็นแกนหลักของหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ปฐมวัยไปจนถึงการศึกษาตลอดชีวิต ซึ่งทำให้การเรียนภาษาอังกฤษกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในสังคมปัจจุบัน เพราะเราจำต้องใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับชาวต่างชาติ ยิ่งเรามีความสามารถการใช้ภาษามากเท่าไหร่ การสื่อสารกับชาวต่างชาติก็เป็นไปอย่างคล่องแคล่วเท่านั้น ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าแต่ละโรงเรียนจะมีการสอนภาษาอังกฤษระดับพื้นฐานเพื่อเป็นการปูรากฐานให้นักเรียนเพื่อต่อเนื่องมายังระดับมหาวิทยาลัย ในขณะเดียวกันการเรียนภาษาระดับมหาวิทยาลัยจะเป็นการเจาะลึกลงไปเพื่อให้เห็นรากฐานทางภาษาชัดเจนขึ้น เช่น Syntax (โครงสร้างประโยค) , Phonology (เสียง) , Semantic (ความหมายในภาษา) ทำให้การเก็บเกี่ยวความรู้จากในห้องเรียนแต่ละครั้งเป็นสิ่งสำคัญ
การเรียนรู้ในห้องเรียนในวันนี้เป็นการทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับ Tense ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของไวยากรณ์ทางภาษา โดยมีการเชื่อมโยงกับภาษาศาสตร์ซึ่งประกอบไปด้วย Syntax (โครงสร้างประโยค) , Phonology (เสียง) , Semantic (ความหมายในภาษา) ถ้าหากพูดถึง Tense ทุกคนมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเรื่องยาก เพราะมีโครงสร้างหลากหลายหน้าตา มีลักษณะการใช้ที่เกี่ยวโยงกันไปมา และมีความซับซ้อนคลุมเครือ ทุกครั้งที่เราจะต้องใช้ประโยคภาษาอังกฤษในการสื่อสาร Tense จะเข้ามามีบทบาทอยู่เสมอ ฉะนั้นเราต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้วิธีการใช้ Tense ให้แม่นยำ ถ้าถามว่า Tense คืออะไร Tense ก็คือ รูปของคำกริยาที่บอกเวลาของการกระทำในภาษาอังกฤษ การกระทำที่เกิดขึ้นในเวลาที่แตกต่างกันจะใช้รูปของคำกริยาที่แตกต่างกัน อาทิเช่น I eat. (ฉันกิน) , I ate. (ฉันกินแล้ว) , I will eat. (ฉันจะกิน) ประโยคทั้งสามนี้แสดงให้เห็นว่ารูปกริยาที่เปลี่ยนแปลงไปบอกให้รู้ว่าการกินของฉันนั้นเกิดขึ้นตอนไหน กล่าวคือ ประโยคแรกจะกล่าวถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้ ประโยคที่สองกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีต และประโยคที่สามจะกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคต ทั้งนี้การเป็น ปัจจุบัน อดีต และอนาคต เป็นแค่เพียงบทบาทบางส่วนของ Tense เท่านั้น
Tense ในภาษาอังกฤษมีทั้งหมด 12 Tenses มีบทบาทและหน้าที่ หลักการใช้ก็แตกต่างกันไป สามารถแยกตามกลุ่มของเวลา เป็น Past (อดีต) , Present (ปัจจุบัน) , Future (อนาคต) แต่ละกลุ่มของเวลาก็จะมีลักษณะของเหตุการณ์ที่มีความเป็น Simple , Continuous , Perfect และ Perfect Continuous  แต่ละอย่างก็จะมีลักษณะพื้นฐานของตัวมันเอง โดยลักษณะเหตุการณ์แบบ Simple จะมีรูปกริยาของ Tense  ใน Past และ Present ไม่ซับซ้อนคือ ประธานของประโยค แล้วก็ตามด้วยกริยา ส่วนลักษณะเหตุการณ์แบบ Future จะเพิ่ม will  ขึ้นมาเป็นตัวเสริมทำหน้าที่เป็นกริยาช่วย ลักษณะเหตุการณ์แบบ Continuous จะมีรูปกริยา Tense คือ Verb to be (be/is/am/are/was/were/been) ตัวใดตัวหนึ่ง แล้วตามด้วยกริยาเติม ing อยู่ด้วยเสมอ ลักษณะเหตุการณ์แบบ Perfect จะมีรูปกริยาของ Tense คือ Verb to have (have/has/had) ตัวใดตัวหนึ่ง ตามด้วยกริยาช่อง 3 และสุดท้ายลักษณะเหตุการณ์แบบ Perfect Continuous มีทั้งความเป็น Perfect และ Continuous รวมอยู่ในตัว คือมีทั้ง Verb to have กับกริยาช่อง 3 ได้แก่ been โดยจะทำหน้าที่ในฐานะ Verb to be ให้กับกริยาเติม ing ของ Continuous ไปด้วยในตัว
หากพูดถึงบทบาทหน้าที่ของ Tense ทั้ง 12 สามารถกล่าวได้ว่า Present simple : S + V1 พูดถึงความเป็นจริงหรือข้อเท็จจริงที่เห็นและเป็นอยู่ , Past simple : S + V2 พูดถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในอดีต , Future simple : S + will + V (infinitive) พูดถึงสิ่งที่จะทำหรือจะเกิดในอนาคต , Present continuous : S + is/am/are + V-ing พูดถึงเหตุการณ์ที่มีลักษณะเป็นเรื่องชั่วคราวและยังไม่สิ้นสุดลง ณ เวลาปัจจุบัน , Past continuous : S + was/were + V-ing พูดถึงเหตุการณ์ที่มีลักษณะเป็นเรื่องชั่วคราว มีช่วงระยะเวลา และยังไม่สิ้นสุดลง ณ เวลาที่อ้างถึงในอดีตตอนนั้น , Future continuous : S + will + be + V-ing พูดถึงเหตุการณี่มีลักษณะเป็นเรื่องชั่วคราวและยังไม่สิ้นสุดลง ณ เวลาที่อ้างถึงในอนาคต , Present perfect : S + has/have + V3 เป็นการมองย้อนกลับไปในอดีตจากเวลา ณ ปัจจุบัน และการกระทำนั้นจะต้องเกี่ยวโยงกับปัจจุบันเสมอ , Past Perfect : S + had + V3 เป็นการมองย้อนหลังกลับไปยังเวลาก่อนหน้านั้นจากเวลาที่อ้างถึง ณ จุดใดจุดหนึ่งในอดีตตอนนั้น , Future perfect : S + will + have + V3 เป็นการมองย้อนกลับไปยังเวลาก่อนหน้า โดยมองจากจุดเวลาที่อ้างถึง ณ จุดใดจุดหนึ่งในอนาคต , Present perfect continuous : S + has/have + been + V-ing เป็นการมองย้อนกลับไปในอดีตจากเวลา ณ ปัจจุบัน และการกระทำต้องเกี่ยวโยงกับปัจจุบัน , Past perfect continuous : S + had + been +V-ing เป็นการมองย้อนกลับไปยังเวลาก่อนหน้าโดยมองจากเวลา ณ จุดใดจุดหนึ่งในอดีตตอนนั้น , Future perfect continuous : S + will + have + been +V-ing เป็นการมองย้อนกลับไปยังเวลาก่อนหน้าโดยมองจากจุดเวลาที่อ้างถึง ณ จุดใดจุดหนึ่งในอนาคต
การเรียนเรื่อง Tense ในห้องเรียนในวันนี้ ทำให้ดิฉันได้ทบทวนความรู้เกี่ยวกับ Tense ได้รับความรู้เพิ่มเติมว่า Tense มีความเชื่อมโยงกับ Syntax , Phonology และ Semantic เพราะการเรียน Tense เราต้องเข้าใจโครงสร้าง และเข้าใจในความหมายของมันด้วย จึงจะเกิดความเข้าใจในการใช้ Tense ในแต่ละเหตุการณ์ จากการเรียนในห้องเรียนและการศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง Tense สรุปได้ว่า Tense มีทั้งหมด 12 Tense แบ่งออกเป็นช่วงกาลเวลา 3 ช่วง คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่ละช่วงกาลเวลาจะมีลักษณะเหตุการณ์การเกิดเหตุการณ์แตกต่างกันไปซึ่งประกอบไปด้วย Simple , Continuous , Perfect , Perfect continuous  ถึงแม้ว่า Tense จะมีการเกี่ยวโยงกับเวลา แต่เวลาก็ไม่ใช่เงื่อนไขทั้งหมดที่เราใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน แม้โดยทั่วไปเวลาจะเป็นส่วนสำคัญในการพิจารณา แต่ก็ยังมีเกณฑ์อย่างอื่นที่เข้ามามีบทบาทต่อการเลือกใช้ Tense ก็คือ ผู้พูดจะเลือกใช้ Tense ตามความรู้สึกนึกคิดและความเข้าใจที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆ เป็นสำคัญ ภายใต้เงื่อนไขแห่งธรรมชาติของ Tense ที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือ ดิฉันจึงตระหนักแล้วว่าธรรมชาติของ Tense เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ เมื่อต้องการสื่อสารความรู้สึกนึกคิดออกไปให้คนอื่นรับรู้ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น